RSS

มองมุมใหม่ด้วยใจรัก:สังคมไทยต้องการหลักธรรมและความรัก

10 มี.ค.

สังคมขณะนี้ ไม่มีใครมีความสุขนัก ทั้งกลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มเสื้อแดง กลุ่มตรงกลาง กลุ่มหลากสี ด้วยเรารู้สึกขาดหลักธรรม และความรักทำให้นึกถึงตอนที่มีผู้ถามพระเยซูคริสต์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ในธรรมบัญญัตินั้นข้อใดสำคัญที่สุด”


พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น”

“ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่า พระธรรมข้อแรก เข้าใจยากมาก เพราะเราไม่เห็นพระเจ้า และเราไม่รู้ว่า ทำไมพระเจ้าจึงต้องการความรักขนาดนั้นหรือ ถึงเป็นทั้งข้อใหญ่และข้อต้น

แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นสถานการณ์ต่างๆแล้ว ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น เราเห็นผู้นำสังคมแต่ละคนด้วยความนิยมที่แตกต่างกันไป ด้วยมนุษย์เราทุกคนเป็นคนบาป โดยทั่วไปก็จะมีดีบางส่วน ไม่ดีบางส่วน ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น โต้ตอบกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันมากขึ้น ก็อาจจะเริ่มรู้สึก ท้อแท้ เป็นทุกข์ ห่อเหี่ยวใจ ไม่เห็นว่ามีใครดีพอ

ความรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ จึงทำให้เราไม่ลืมว่า เรายังมีองค์พระเจ้า ผู้ทรงเป็นความรัก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งและประทานให้มนุษย์ครอบครอง ทุกเช้า ทุกครั้งที่ได้รับลมดีๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นสายลม แสงแดด ท้องฟ้า ภูเขา ทะเล ลำน้ำ ต้นไม้ ทุ่งหญ้า ทุ่งนา ทำให้เรารู้สึกถึงความรักลึกซึ้งขององค์พระผู้เป็นเจ้า

แล้วมนุษย์ก็ทิ้งพระองค์ ไปเชื่อมาร อยากได้สิ่งที่ไม่ใช่เป็นของเรา โกหก โทษแต่ผู้อื่น โกรธกัน ทำร้ายกัน ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทำให้ทหารโรมันกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” แล้วในวันที่ 3 พระองค์ทรงฟื้นและทรงมีชีวิตนิรันดร์
ความเชื่อในความรักที่พระองค์ให้แก่เราด้วยชีวิตของพระองค์ และความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทำให้เรามีกำลังใจ และมีความชื่นชมยินดีเสมอ

ส่วนในข้อสองนั้น คือความรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เป็นข้อที่เข้าใจง่าย ซึ่งในหลักการความรักนั้น จะประกอบไปด้วย การให้ การไม่ช่างจดจำความผิด การเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ

สังคมไทยขณะนี้ ต้องการคุณธรรมและความรัก คุณธรรม คือ ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุจริต ความไม่เบียดเบียน ไม่เอาเปรียบ ไม่โกงกัน ไม่ฉ้อราษฎร์หรือบังหลวง ความไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว และมีความรักต่อกันคือ มองกันในแง่ดี พระเจ้าเป็นความรัก และมารคือความเกลียดชัง ทุกฝ่ายจึงควรเข้าใจส่วนดีของกันและกัน จริงๆแล้วเราคนไทยร่วมชาติเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

แต่สังคมไทยเผชิญอุบายของคนๆหนึ่ง ที่เมื่อเรื่องราวหลักฐานปรากฏ แต่ต้องการปกปิด จึงต้องการสร้างสถานการณ์ให้เป็นเรื่องของการ “เกลียดตน” และอยากให้ข้อมูลไปไม่ถึงคนอีกกลุ่มหนึ่ง และตั้งให้เป็นกลุ่ม “รักตน” กลุ่ม “รักตน” จึงโดนหลอก กลุ่ม “เกลียดตน” ก็โดนหลอกให้ยิ่งโกรธเกลียด และกลุ่ม “ตรงกลางที่เบื่อทั้ง 2 กลุ่ม” ก็โดนหลอก เพื่อให้คนเลิกสนใจหลักฐานทุจริตต้นตอความขัดแย้ง เพราะคนไทยเราโกรธกันง่ายเกินไป และคนๆนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย

เราคนไทยจึงยังควรรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ควรเห็นส่วนดีกันด้วย ยังรักสามัคคีกัน และแนะนำกันสำหรับส่วนที่อาจจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

คนเสื้อแดง ส่วนใหญ่ ก็มีความตั้งใจที่ดีและบริสุทธิ์ที่จะปกป้องรักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษั ตริย์ทรงเป็นพระประมุข หลายคนก็ตั้งใจดีเพื่อส่วนรวม จึงได้สละเวลาส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

แต่หากได้เข้าใจว่า ประชาธิปไตยแท้ ต้องมีการสื่อความครบด้าน เพื่อป้องกันการทุจริต ต้องจริงใจกับอำนาจการตรวจสอบเพื่อคานอำนาจอย่างโปร่งใส และต้องบริหารบ้านเมืองด้วยความรักคนทั้งชาติอย่างเท่าเทียมกันไม่สร้างความ แตกแยกเป็นพวกเขาพวกเรา และบริหารด้วยความสุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว มีความโปร่งใสพร้อมให้ตรวจสอบ พร้อมตอบคำถามเสมอเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าตนมิได้ทุจริต ไม่ใช่ปกปิด และบิดเบือนให้เกิดความขัดแย้ง วุ่นวายในบ้านเมืองเพื่อปกปิดเรื่องของตัว

ล่าสุด คนเสื้อแดงได้เริ่มแสดงออกว่า เราคนไทยเสื้อเหลืองเสื้อแดงไม่มีใครเป็นศัตรูกัน ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างมาก หากคนไทยเราไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ปล่อยให้คดีต่างๆตัดสินกันตามหลักฐานของ “การกระทำ” สังคมก็ยังรักกัน และไม่มีใครทำผิดเหนือกฎหมายได้ จึงไม่ควรให้ใครบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมและหากจะโต้แย้ง คดีต่างๆ เช่น คดีที่ดินรัชดา คดียุบพรรค คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ให้แน่ใจว่าได้กล่าวถึงหลักฐานข้อกล่าวหาให้ครบถ้วน และเอา “ความจริง” มาโต้แย้งกัน คนไทยจะได้ไม่ต้องถูกหลอกให้หลงโกรธกันอีกต่อไป

คนเสื้อเหลืองก็มาด้วยหัวใจบริสุทธิ์ เจตนาไม่ใช่เพื่อส่วนตัว แต่เพื่อส่วนรวมชัดเจน ต้องการเรียกร้องความถูกต้อง ยกมาตรฐานคุณธรรมความชอบธรรมในสังคม เราไม่เห็นความรุนแรงเริ่มจากกลุ่มนี้ ในกรณีปะทะกัน จะเห็นเป็นการปกป้องตนเองจากการรุกทำร้ายของผู้อื่น มีความน่าสงสาร ที่ถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่องหลายคืน ทั้งๆที่ก็เป็นจุดเป้านิ่ง ซึ่งรัฐบาลและตำรวจน่าจะอยู่ในวิสัยที่ดูแลความสงบเรียบร้อยได้ และน่าสงสาร ที่สื่อของรัฐได้ปกปิดความจริงเรื่องเจตนาเบื้องต้นในการตรวจสอบพวกพ้อง และต่อต้านการวางตัวเหนือกฎหมาย และพยายามแก้กฎหมายและรัฐธรรมนูญหลังจากที่ได้ทำผิด ทำให้ประชาชนต้องเข้าใจกันผิด โกรธเกลียดกัน ด้วยข้อมูลความจริงที่ไม่ให้ทราบเท่าเทียมกัน จึงสะสมความไม่เป็นธรรมจนความอดทนเริ่มหมดไป

มีคำสอนหลายประการ เช่น

“บุคคลใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณก็เป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” เพื่อให้เราทุกคนตระหนักว่า เราเองอาจมีข้อบกพร่อง แก้ไขเราให้ดีเสมอ ก็ทำให้สวรรค์เป็นของเรา

“เราทุกคนเป็นดังอวัยวะของกายเดียวกัน” ทุกส่วนพึงรักกัน ไม่ควรคดโกงเอาเปรียบกัน ควรทำประโยชน์เพื่อกันและกัน และคิดถึงกันและกันมากๆ
ถ้าเรามองไปที่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก และความบริสุทธิ์ เราก็จะมีกำลังใจ และมาตรฐานความชอบธรรมที่สูงอยู่เสมอ

คนไทยโชคดีที่มีในหลวง พ่อแห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเสียสละเพื่อพสกนิกรของพระองค์เป็นที่ประจักษ์และเคารพเทิดทูนสูงสุดเ สมอมา พระองค์ทรงสอนให้ประชาชน “รู้รักสามัคคี” และ “ความสุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ประกอบไปด้วยความรัก และความชอบธรรมอย่างแท้จริง

และด้วยความรักยิ่งใหญ่ที่เราเห็น ขอให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ไม่ถูกคนบาปทำให้เกิดสงครามระหว่าง “ผู้รัก” กับ “ผู้เกลียด” แต่ขอให้ทุกฝ่าย กลับมาลำดับเรื่องตามหลักฐานความเป็นธรรม และเปิดให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงาน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายจริงๆอย่างโปร่งใส ทุกฝ่ายพึงยกระดับความรักและหลักธรรมของตนไว้ สังคมก็จะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปสู่ความสันติสุขได้ในที่สุดครับ

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 18 ธันวาคม 2551 15:47 น.

 

ป้ายกำกับ: , ,

2 responses to “มองมุมใหม่ด้วยใจรัก:สังคมไทยต้องการหลักธรรมและความรัก

  1. แรนเถื่อน

    พฤษภาคม 19, 2009 at 5:12 pm

    ความรู้ดีจริงๆค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับบทความดีๆ

     
  2. แรนเถื่อน

    มิถุนายน 20, 2009 at 11:17 am

    Thank for content kubb….

     

ใส่ความเห็น