- เราเรียนรู้อะไรจากการต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมา
- เราจะวิเคราะห์ปัญหาปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคตได้ดี ก็ต่อเมื่อเรารู้จักศึกษาและสรุปบทเรียนจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมา. ปัญหาสำคัญคือคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สนใจการเรียนรู้และการวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจสังคมอย่างวิพากษ์วิจารณ์ และเชื่อมโยงเป็นองค์รวม ; ไม่ค่อยสนใจการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ และการวิจัยและสร้างสรรค์ภูมิปัญญาจากพื้นฐานสังคมไทยอย่างจริงจัง.
อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ คนส่วนใหญ่ถูกครอบงำทางด้านความรู้ความเชื่อให้มองแต่ข้อดีของแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจตามกรอบคิดตะวันตกที่เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก เน้นหาเงินให้ได้มาก และเพิ่มการบริโภคให้ได้มากตามกระแสโลกาภิวัตน์ จนกลายเป็นความศรัทธาในเรื่องการแข่งขันกันหาเงินเพื่อการบริโภคว่าเป็นแนวทางการพัฒนาทางเดียวที่มีอยู่. คนที่เชื่อแบบศรัทธาจะไม่ฟังคนอื่นและไม่อาจคิดได้ว่าในโลกนี้ยังมีเศรษฐศาสตร์แบบอื่น ๆ, แนวการพัฒนาทางเลือกอื่น ที่ต่างไปจากแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยมเพื่อการบริโภคนี้.
- เรามุ่งพัฒนาประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยเน้นรูปแบบ (การมีรัฐธรรมนูญ, มีการเลือกผู้แทนฯ) มากกว่าเนื้อหา (วิถีชีวิต, ค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตย) เน้นผลลัพธ์สำเร็จรูปมากกว่ากระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย. เราไม่ได้สนใจพัฒนาประชาธิปไตยในครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน และประชาคมมากเท่าที่ควร. แนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ไม่ได้หยั่งรากลึกในหมู่ประชาชน และนักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวระยะสั้น สามารถใช้ความได้เปรียบของกลุ่มคนที่มีเงินมากกว่า มีความรู้มากกว่า มีอำนาจอิทธิพลบารมีมากกว่า ช่วงชิงการทำตัวเป็นผู้อุปถัมภ์ประชาชนที่ทั้งยากจนทั้งขาดความรู้ ความสำนึกทางการเมืองได้.
- การต่อสู้เพื่อสังคมประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ถูกนำโดยกลุ่มปัญญาชนชนชั้นนำที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่อย่างเถรตรงหรือเป็นสูตรสำเร็จมากเกินไป ไม่ได้มีการปฏิวัติการศึกษาแบบวิเคราะห์และรู้จักการประยุกต์ใช้กับสังคมที่เป็นจริง ; และไม่ได้มีการกระจายทักษะในการศึกษา และการวิเคราะห์สู่ประชาชน.
ประชาชนไม่ได้มีพื้นฐานทางภูมิปัญญาที่เข้มแข็ง. การที่ชนชั้นนำเป็นผู้ครอบงำทางด้านแนวคิดอุดมการณ์ (ส่วนใหญ่โดยฝ่ายจารีตนิยมฝ่ายก้าวหน้ามีอิทธิพลในระดับหนึ่งในช่วง 2516-2519) ; เมื่อชนชั้นนำนำไปในทางที่ผิดพลาด ประชาชนก็ผิดพลาดไปด้วย เพราะประชาชนคิดต่างออกไปจากชนชั้นนำไม่เป็น. ประชาชนส่วนใหญ่ยังถูกครอบงำด้วยความคิดแบบพึ่งพาผู้อุปถัมภ์ พึ่งพาผู้นำหรือตัวบุคคล มากกว่าจะคิดเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างที่ประชาชนจะสามารถมีบทบาทได้มากขึ้น.
- ประชาชนไทยโดยทั่วไปรวมทั้งปัญญาชนไม่ได้พัฒนาวุฒิภาวะในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างซับซ้อน. พวกเขามีแนวโน้มที่จะมองปัญหาแบบแบ่งเป็น 2 ขั้วอย่างสุดโต่ง เช่น ขวา-ซ้าย, ซ้ายของแท้-ซ้ายลัทธิแก้ เปิดเสรีเต็มที่-ชาตินิยมสุด ๆ ฯลฯ มากเกินไป จึงมีอาการสวิงไปทางขั้วที ขั้วนั้นที แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่กลุ่มคนที่ขึ้นมาชี้นำ. ประชาชนไม่ค่อยสนใจที่จะวิเคราะห์หาทางเลือกที่สามหรือทางเลือกที่สี่ที่เป็นทางเลือกใหม่ ๆ ที่มีการเสนออย่างมีระบบเหตุผล มีข้อเท็จจริงหรือข้อมูลพื้นฐานรองรับ.
- คนไทยส่วนใหญ่มักมองปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองอย่างแยกจากกันเป็นส่วน ๆ ทำให้ขาดการมองอย่างเชื่อมโยงถึงปัญหาทางวัฒนธรรมและปัญหาระบบคิด ที่เป็นทั้งผลสะท้อนและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและการเมืองได้ด้วยในขณะเดียวกัน. อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไทยทำงานรวมกลุ่มกันอย่างสร้างสรรค์ และก้าวไปข้างหน้าอย่างมีสมรรถภาพได้ยากคือ วัฒนธรรมทางความคิดแบบเจ้าขุนมูลนายและระบบอุปถัมภ์ วัฒนธรรมในการชอบรักษาหน้า ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ติดกับบุคคลมากกว่าหลักการ ฯลฯ
คนไทยมักไม่ค่อยมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ไม่ค่อยมีวินัย ไม่เชื่อถือคนอื่นนอกจากตัวเอง และพรรคพวก. ปัญหาทางวัฒนธรรมและระบบคิดของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไทยเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องการการวิจัยวิเคราะห์เพื่อหาทางแก้ไขไม่น้อยไปกว่าปัญหาทางเศรษฐกิจการเมือง.
ปัญหาทั้ง 5 ประการที่กล่าวมาเป็นปัญหาด้านระบบโครงสร้างทางสังคม และปัญหาทางด้านกรอบวิธีคิดของคนไทยที่เป็นรากเหง้าของปัญหาอยู่แล้ว ; เมื่อเจอปัจจัยภายนอก จากการพยายามเอาเปรียบและครอบงำของทุนต่างชาติ ปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม จึงได้ขยายตัวเป็นวิกฤติอย่างรวดเร็ว.
แนวโน้มสังคมไทยในชั่วอายุคนรุ่นต่อไป (25 ปีข้างหน้า) จะเป็นอย่างไร
- จะเป็นสังคมที่ประชากรเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จาก 62 ล้านคน เป็น 124 ล้านคน โดยมีประชากรวัยหนุ่มสาวที่ต้องการงานทำเป็นสัดส่วนสูงขึ้น ทำให้และผู้สูงอายุเกิน 60 ปีก็จะมีสัดส่วนสูงขึ้น เป็นภาระแก้ญาติพี่น้อง และสังคมเพิ่มขึ้น. ในอนาคตอาจจะมีคนเสียชีวิตเพราะโรคเอดส์ อุบัติเหตุการเดินทาง และการทำงาน และสาเหตุอื่น ๆ ในอัตราสูง ทำให้ประชากรจำนวนลดลงบ้าง ; แต่ประชากรก็ยังจะมีจำนวนมากเกินกว่าทรัพยากร เช่น ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ธรรมชาติสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีอยู่เท่าเดิมและกำลังเสื่อมสภาพลง. ดังนั้น สังคมไทยในอนาคตจะมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองสูงขึ้น การจัดการเรื่องแรงงานและทรัพยากร เพื่อให้ประชากรมีงานทำ มีอาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ยารักษาโรค จะเป็นปัญหาใหญ่มาก จะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรแย่งชิงงานกันมากขึ้น ฯลฯ.
- ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนกรอบคิดเรื่องการพัฒนาแบบเน้นการส่งเสริมต่างชาติมาลงทุน สังคมไทยจะเป็นสังคมที่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่เข้ามาครอบงำทั้งธนาคาร รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจต่าง ๆ มากจนคนไทยจะเป็นเหมือนผู้เช่าอาศัย และลูกจ้างในบ้านของตนเอง. จะเกิดความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน เพิ่มมากขึ้น, การว่างงานจะเพิ่มขึ้น, เกิดสลัมขนาดใหญ่, ปัญหาคนจรจัดในเมือง, ปัญหาโสเภณี, ยาเสพย์ติด, อาชญากรรม, และปัญหาอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น.
- ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนกรอบคิดเรื่องการพัฒนาที่เน้นการเจริญเติบโตของสินค้า เน้นการแข่งขันหาเงิน หากำไร เพื่อการบริโภคสูงสุดแล้ว ; ทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และสภาพแวดล้อมทางสังคม วัฒนธรรมจะยิ่งถูกทำลาย. คนจะตายและเจ็บป่วย เพราะมลภาวะและโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น ค่านิยมของคนไทยรุ่นต่อไป จะยิ่งเห็นแก่ตัว แก่งแย่งแข่งขัน เกิดปัญหาการทุจริตฉ้อฉล ความเสื่อมทางจริยธรรม ศีลธรรมมากขึ้น เกิดความรู้สึกแปลกแยกและความเครียดมากขึ้น เกิดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมที่รุนแรง และสลับซับซ้อน จนแก้ไขด้วยสันติวิธีได้ยาก.
รัฐบาลที่เป็นตัวแทนคนกลุ่มน้อยและไม่ฉลาดมากพอ จะยิ่งสาละวนกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นส่วน ๆ; และจะแก้ไม่ได้ผล เพราะปัญหาทุกอย่างของสังคม รวมทั้งปัญหาระบบความคิด ค่านิยมของคน เป็นปัญหาเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคมทั้งหมด. เราไม่อาจจะแยกแก้ปัญหาเป็นส่วน ๆ อย่างได้ผลยั่งยืน ต้องปฏิรูปหรือปฏิวัติระบบเศรษฐกิจสังคมการเมืองทั้งหมดอย่างเชื่อมโยงเป็นองค์รวม.
เราควรจะทำอะไรกันต่อไป ?
- เราควรจะเผชิญกับวิกฤติครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองไทยครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา, เลิกสร้างภาพพจน์ เลิกหลอกให้ประชาชนมีความหวังแบบไม่สมจริง. เราต้องช่วยกันศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์ให้ประชาชนเห็นสาเหตุทางโครงสร้างของวิกฤติอย่างแท้จริง และคิดในเชิงผ่าตัดปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทย ตลอดจนคิดหาทางเลือกใหม่ที่เป็นทางเลือกเฉพาะของไทยอย่างกล้าพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่.
- เปลี่ยนกรอบคิดเรื่องการเร่งรัดขยายการผลิตและการบริโภคที่ทำให้ต้องอยู่ในกับดักของหนี้และการพึ่งทุนต่างชาติ ; หันมาเน้นการผลิตและการบริโภคเฉพาะสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการยังชีพและคุณภาพชีวิต และลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการแบ่งปันกันใช้ทรัพยากร แบ่งปันการมีงานทำ และการบริโภค อย่างเอื้ออาทรต่อทั้งธรรมชาติและคน.
- เปลี่ยนกรอบคิดแบบหวังพึ่งพาการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศมากเกินไป เป็นการพึ่งตนเองในระดับประเทศ และเน้นพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นด้านหลัก. กระจายทรัพยากร รายได้ ความรู้ การมีงานทำ สิทธิและโอกาสทางการเมืองและสังคมสู่ประชากรส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง ทำให้ตลาดภายในประเทศที่มีคน 62 ล้านคน มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เพื่อทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นฟูเข้มแข็งขึ้น. ส่วนการลงทุน และการค้ากับต่างประเทศควรเลือกเปิดรับการลงทุนและสั่งสินค้าจากต่างประเทศส่วนที่จำเป็น และที่เราจะได้ประโยชน์โดยไม่เสียเปรียบจนเกินไป และส่งออกสินค้าที่เราสามารถผลิตได้ดี มีมูลค่าสูง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม.
- ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา สื่อสารมวลชน และวัฒนธรรมในแนวทางเลือกที่สาม คือ สังคมประชาธิปไตยแบบใหม่ (NEW SOCIAL DEMOCRATIC) ที่เลือกส่วนที่ดีของสังคมนิยม เช่น ความเสมอภาค การไม่เอาเปรียบกัน และส่วนที่ดีของทุนนิยม เช่น ประสิทธิภาพ, แรงจูงใจในการทำงาน มาผสานกันอย่างคำนึงถึงสภาพความเป็นจริง เพื่อสร้างระบบใหม่ที่เป็นไปได้ในชั่วอายุคน.
- เปลี่ยนโครงสร้าง วิถีชีวิต และกรอบคิดค่านิยมแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เน้นการแก่งแย่งแข่งขันหาเงิน เน้นการบริโภคของเอกชนแบบตัวใครตัวมัน มาเป็นกรอบคิดค่านิยมที่เน้นความร่วมมือ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งปันทรัพยากร การมีงานทำ การบริโภค อย่างทั่วถึง เป็นธรรม. เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถ การทำความดี ทั้งเพื่อการพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคมชนิดที่มีคุณภาพ ไม่ใช่สังคมที่เน้นการพัฒนาด้านวัตถุความ และเห็นแก่ตัว.
สังคมที่มีคุณภาพ คือ สังคมสันติประชาธรรมที่สนองความต้องการพื้นฐานที่จำเป็นของสมาชิกส่วนใหญ่ได้ดี มีธรรมชาติสภาพแวดล้อมที่ดี, มีเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมชาติที่ดี, ประชาชนพัฒนาทั้งความรู้ จิตสำนึกทางสังคม วุฒิภาวะทางปัญญาและอารมณ์, มีวินัย, ทำงานเป็นกลุ่มคณะได้มากขึ้น, มีวัฒนธรรมในการตัดสินปัญหาความขัดแย้งด้วยเหตุผล ประชาธิปไตยและสันติวิธี ; เคารพความหลากหลายด้านความคิด ความเชื่อ และศิลปวัฒนธรรม ทำให้สังคมสามารถที่จะพัฒนาเพื่อความผาสุกประชาชาติของคนส่วนใหญ่ ได้อย่างยั่งยืนยาวนาน.
สังคมที่มีคุณภาพแบบใหม่นี้แตกต่างจากสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เน้นการเพิ่มผลผลิตหรือรายได้ประชาชาติในปัจจุบัน ที่นอกจากจะไม่ได้กระจายผลผลิตสู่คนส่วนใหญ่แล้ว การผลิตและบริโภคสินค้ากันอย่างฟุ่มเฟือยมากเกินไป ยังทำลายทั้งธรรมชาติสภาพแวดล้อม และทำลายทั้งวัฒนธรรม จริยธรรม ของคนส่วนใหญ่. การพัฒนาที่เน้นการเพิ่มการเจริญเติบโตทำให้เกิดวิกฤติทางสังคมและวัฒนธรรมที่แก้ได้ยากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจ. ขณะเดียวกันการพัฒนาเพื่อสังคมที่มีคุณภาพก็ต่างจากสังคมแบบวางแผนจากส่วนกลาง หรือสังคมนิยมแบบเก่า ที่มีข้อจำกัดในเรื่องความด้อยประสิทธิภาพ, การครอบงำจากชนชั้นข้ารัฐการจากส่วนกลางมากเกินไป.
ยุทธศาสตร์ในการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้ง 4 ประการข้างต้นได้คือ
- การสร้างสรรค์และเผยแพร่แนวคิดในการกอบกู้วิกฤติแบบใหม่ที่ต่างจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์ตะวันตกกระแสเก่าของและชนชั้นนำส่วนใหญ่.
- การจัดตั้งและขยายเครือข่ายการจัดตั้งองค์กรที่มีประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีทิศทางร่วมกัน ให้ประชาชนเข้าใจ, ตระหนักถึงสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤติ และทางออกที่ยั่งยืน และตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา (รู้ว่าเราควรจะไปทางไหนกัน). พัฒนาองค์กรประชาชน กลุ่มสหภาพแรงงาน สมาคมอาชีพ สหกรณ์ออมทรัพย์ ชมรม สมาคม สโมสร ฯลฯ และประชาคมให้มีความรู้และมีอำนาจต่อรองกับกลุ่มนายทุน, นักการเมืองเพิ่มมากขึ้น. รณรงค์ปฏิรูปการศึกษา และความคิด ทำให้คนส่วนใหญ่มีความคิดเสรีประชาธิปไตย และเรียนรู้อย่างวิพากษ์วิจารณ์และอย่างต่อเนื่อง. เสริมสร้างศักยภาพในการเป็นผู้นำ และสร้างผู้นำใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อขยายบทบาทในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงและทำงานทางการเมืองและสังคม ; ช่วงชิงช่องทางที่เปิดให้ เช่น ส่งคนที่มีอุดมการณ์และมีความรู้ความสามารถเข้าสมัครวุฒิสมาชิก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้แทนในระดับต่าง ๆ. ขณะเดียวกัน องค์กรประชาชนก็ต้องคอยผลักดันควบคุมดูแลผู้ทำงานการเมืองในระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ผู้แทนเปลี่ยนสีแปรธาตุ หรือถูกระบบอภิสิทธิชนดูดกลืนไปเป็นพรรค (รู้ว่าเราจะไปอย่างไรกัน).