0 ปี ฉันจึงมาหาความหมาย
‘Beauty is in the eye of beholder’ หากวลีที่ว่านี้ยังเป็นจริงฉันใด… การให้ความหมายต่อสิ่งที่ผันผ่านเข้ามาในชีวิตคนเราก็ย่อมแตกต่างกันได้ฉันนั้น ยิ่งในวันวัยหนุ่มสาวห้าวหาญที่ถูกท้าทาย ทดสอบจากห้วงคับแค้นเผด็จการอยุติธรรมด้วยแล้ว การค้นหาความหมายของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจึงไม่ใช่ไขว่คว้ากระดาษหนึ่งแผ่น
เพื่อความก้าวหน้าทางการงานเฉกเช่นหนุ่มสาวทุนนิยมอย่างแน่นอน
“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว”
4 วรรคทองของบทกวี ‘เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน’ ที่นักศึกษาปี 3 เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ‘วิทยากร เชียงกูล’ รังสรรค์ขึ้นตั้งแต่ปี 2511 ไม่เพียงเผยสารัตถะสำคัญของนักศึกษาและมหาวิทยาลัยที่ขาดหายไปในช่วงก่อน 14 ตุลาเรื่อยมากระทั่งปัจจุบันได้เท่านั้น หากยังรัดร้อยแรงบันดาลใจหนุ่มสาวต่างยุคสมัยเข้าไว้ได้ด้วยกันอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะหมุดหมายปลายฝันชีวิตนักศึกษาที่ไม่ได้สุดสิ้นแค่รับปริญญาบัตร!
เกี่ยวเก็บแรงบันดาลใจ
จริงทีเดียวที่กวี นักเขียน ศิลปิน มักอาศัยความทดท้อสิ้นหวังมาสรรค์สร้างผลงานเลิศล้ำที่เปลี่ยนแปลงโลกทัศน์
ทั้งในระดับปฏิบัติและจิตวิญญาณของผู้เสพงานศิลป์ ดังพลังเพลงเถื่อนแห่งสถาบันที่ผันพลิกชีวิตหนุ่มสาวไม่น้อยทั้งในห้วง
อดีตและปัจจุบันให้ลุกขึ้นมาตั้งคำถามอย่างเคร่งครัดในความหมายแห่งชีวิต
และสังคมก็ถ้อยถักมาจากความหมดอาลัยตายอยากหลังก้าวเท้าเข้ามหาวิทยาลัยได้แค่ 3 ปีของคนหนุ่มผู้มุ่งมาดความดีงามอันแตกต่าง
“เขียนตอนเรียนปี 3 เริ่มเบื่อมหาวิทยาลัย เพราะคาดหมายสูงว่ามหาวิทยาลัยคงมีสติปัญญามาก สอนดี บรรยากาศวิชาการ แต่พอเข้าไปกลับไม่ต่างจากโรงเรียนมัธยมมากนัก เลยใช้เวลาอ่านหนังสือเองเยอะ และแม้ธรรมศาสตร์จะไม่มีการรับน้องใหม่ แต่ช่วงนั้นนักศึกษาก็ชอบทำกิจกรรมฟุ้งเฟ้อ งานเต้นรำ ศิษย์เก่า รวมถึงทุ่มเทเวลาเตรียมกีฬาฟุตบอลประเพณี ซ้อมเพลงเชียร์ทั้งปี”
วิทยากรย้อนรอยแรงบันดาลใจในการเรียงร้อยบทกวี ก่อนขยายว่า ด้วยมีเพื่อนเป็นชาวนาและความที่ตัวเองเป็นชนชั้นกลางในตัว อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ที่เข้ามาเรียนเศรษฐศาสตร์ในเมืองกรุง จึงมองเห็นปัญหาทั้งฟากนักศึกษาที่ไม่ตื่นตัวทางสังคม ขณะฝั่งชาวบ้านก็ยากจนข้นแค้น รอคอยความหวังว่านักศึกษาเหล่านั้นเมื่อจบไปแล้วจะมาช่วยกันพัฒนาประเทศ
เพื่อคลี่คลายคุณภาพชีวิตพวกเขา
ถึงแม้ช่วงนั้นจะยังไม่สนใจการเมืองมากนัก แต่ตื่นตัวทางสังคมแล้ว รู้สึกว่าสังคมต้องการการพัฒนาเพื่อพ้นไปจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง
ที่ถ่างกว้างมาก โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่เสมือนเปิดกว้างเฉพาะคนรวย การเย้ยหยันแบบคนหนุ่มในวรรค ‘จะให้พ่อขายนามาแลกเอา’ จึงสะท้อนค่านิยมของนักศึกษาสมัยนั้นว่าต่อให้ต้องจ่ายสูงอย่างไร พวกเขาก็พร้อมขอเพียงให้ได้ใบปริญญามา ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานั้นพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยการอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากมาย ดังสะท้อนชัดผ่าน 4 วรรคท้ายสุดของกวีบทเดียวกันนี้
‘ดอกหางนกยูงสีแดงฉาน บานอยู่เต็มฟากสวรรค์
เกินพอให้เจ้าแบ่งปัน จงเก็บกันอย่าเดินผ่านเลยไป!’
“หากอ่านทั้งชิ้น จะพบว่าไม่ได้มีแค่ความหมายใน 4 วรรคที่คนชอบโค้ดกันมากเท่านั้น เพราะยังพูดถึงดอกหางนกยูงในท่วงทำนองความสวยงามของชีวิตที่จักต้องเก็บเกี่ยวด้วย” วิทยากรเผยหนึ่งความหมายที่ปรารถนาสื่อออกไป แต่สังคมกลับไม่ค่อยรับรู้
อย่างไรก็ตาม แม้จะสะท้อนความผิดหวังในระบบมหาวิทยาลัยและสังคมเหลื่อมล้ำได้ถึงแก่น แต่ห้วงยามนั้นยังมีนักศึกษาไม่มากคนนักที่ซึมซับความหมายลุ่มลึกของกวีบทนี้ เพราะถึงจะตีพิมพ์ตั้งแต่ 27 มิถุนายน 2511 ในหนังสือพิมพ์ยูงทองของคณะวารสารฯ แล้วนำมาแจกในงานวันครอบรอบสถาปนามหาวิทยาลัย ก็ยังไม่ค่อยมีนักศึกษาสนใจใคร่อ่านมากนัก
ต้องรอจนกระทั่งพิมพ์รวมเรื่องสั้นและบทกวีชื่อ ‘ฉันจึงมาหาความหมาย’ ครั้งแรกในปลายปี 2514 ที่ประจวบเหมาะกับกระแสต้านเผด็จการในหมู่นักศึกษาหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลานั้น บทกวีนี้จึงโดดเด่น ‘โดน’ ใจพวกเขามหาศาล จนกลายเป็นปรากฏการณ์ถีบตัวเองอย่างเร่งร้อนออกจากความคับแคบของ
ตำรับตำราในหมู่นักศึกษาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วราวห่วงโซ่แห่งเกลียวคลื่น ก่อนถั่งโถมท่วมท้นเป็นมหาสมุทรมหาชนช่วง 14 ตุลาคราขับไล่เผด็จการ
ถึงแม้การเคลื่อนไหวภาคประชาชนคราวนั้นจะไม่ใช่ผลพวงทั้งมวลของกวีบทนี้ ทว่าความพึงพอใจในหนุ่มสาวส่วนใหญ่ภายหลังอ่านบทกวีชิ้นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธว่าวรรคสั้นๆ อย่าง ‘ฉันจึงมาหาความหมาย’ กลายเป็นเสี้ยวส่วนสำคัญในการอ้างอิง เอื้อนเอ่ย อวดอ้าง หรือแค่พลิกผ่านประวัติศาสตร์วันมหาวิปโยคไปเสียแล้ว
“เสียงตอบรับช่วงนั้น อาจารย์บางคนก็เห็นว่าเขียนแรง ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอ่าน ส่วนคนที่อ่านก็พอใจ เพราะเหมือนเขียนแทนใจเขาว่าไม่ใช่มาเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อเอาปริญญาอย่างเดียว ยิ่งช่วงหลัง 14 ตุลา นักศึกษาตื่นตัวมาก รุ่นพี่ก็เอาหนังสือฉันจึงมาหาความหมายให้น้องอ่าน บางปีธรรมศาสตร์ก็ติดป้ายขนาดใหญ่ที่เขียน 4 วรรคนี้ไว้ต้อนรับนักศึกษาใหม่เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาหัดตั้งคำถาม ขณะที่ครูก็เอาไปให้เด็กมัธยมอ่านอีกต่อหนึ่ง” วิทยากรเผยคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น ก่อนเน้นว่าช่วงตื่นตัว จำนวนผู้อ่าน กลุ่มนักศึกษาที่ขอไปจัดพิมพ์ และจำนวนครั้งการพิมพ์จะสูง
แรงบันดาลใจจากความผิดหวังในรั้วสถาบันการศึกษาและสังคมที่ถ้อยถักผ่านกวีบทน
ี้จะว่าไปแล้วมีความร่วมสมัยค่อนข้างมากทีเดียว ด้วยแรงปรารถนาที่จะสร้างสรรค์สิทธิเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ และมนุษยธรรมของคนรุ่นนั้นที่สะท้อนผ่านตัวอักษร ไม่ต่างจากความหนักแน่นของหนุ่มสาวปัจจุบันผู้พิสมัยการแสวงหาความหมายแห่งชีวิต
บนฐานรากการนับถือตัวเองสักเท่าใดนัก เหนืออื่นใดไม่ว่าเวลาจะทอดตัวนานเนิ่นเพียงใด การเกี่ยวเก็บความหมายบนรายทางชีวิตของผู้แสวงหาก็จะยังคงเข้มข้นไม่เลือกวัยสดใสหรือร่วงโรย ดังเข็มไมล์ในชีวิตที่ขยับเลยทศวรรษที่ 6 ไปแล้วของผู้ประพันธ์กวีบทนี้
6 ทศวรรษการแสวงหา
แม้เพลงเถื่อนแห่งสถาบันจะยังมีอายุไม่ครบ 4 ทศวรรษ ทว่าถ้านับห้วงแสวงหาความหมายในรั้วมหา’ลัยของวิทยากรแล้ว จะพบว่าเกินไปแล้ว 1 ปีด้วยซ้ำ เพราะนับแต่เขาเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ในปี 2508 สายธารการเป็นนักเขียนผู้มุ่งมั่นค้นหาความหมายก็ฉายชัดตั้งแต่นั้นแล้วจากผลงาน
ในกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวและชมรมวรรณศิลป์ ที่คู่ขนานมากับสังคมศาสตร์ปริทรรศน์ที่เปิดเวทีแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ แสดงทัศนะวิพากษ์วิจารณ์ภายใต้ฉากหลังการต่อต้านสงครามเวียดนามโดย
เยาวชนคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศที่เป็นเชื้อไฟให้พลังนักศึกษาไทยพวยพุ่ง
“ช่วงแรกแสวงหาความหมายในชีวิต ยังไม่ใช่เรื่องการเมือง เริ่มตั้งคำถามในเชิงสังคมว่าจบไปแล้วทำอะไร ไม่ใช่แค่หางานทำไปวันๆ ชีวิตน่าจะมีความหมายมากกว่านี้ มหาวิทยาลัยน่าจะดีกว่านี้ ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้นักศึกษาเข้ามามีบทบาททางการเมืองเพื่อจะได้สนใจปัญหาอื่นๆ ตามมา” วิทยากรนิยามยุคแสวงหา พลางสำทับว่า เพลงเถื่อนแห่งสถาบันประหนึ่งกระบอกเสียงและใบเบิกทางสำหรับหนุ่มสาว
ยุคแสวงหาที่วาดหวังสังคมดีงาม ทว่ายังหวาดกลัวความเดียวดาย หากเปิดเผยตัวตนออกมา
ครั้นคล้อยหลัง 14 ตุลาไม่นาน บทกวีชิ้นนี้ได้รับการกล่าวขานมากมายในฐานะหนึ่งแรงบันดาลใจที่นำไปสู่
ู่การลุกขึ้นสู้ของขบวนการนิสิตนักศึกษา จนหลายครั้งตัวผู้เขียนเองยังถูกเหมารวมเป็นคนเดือนตุลา ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นรุ่นก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
“รู้สึกเราเป็นส่วนหนึ่งของ 14 ตุลา แม้ว่าเวลาที่เราคิด ทำ จะไม่ได้คิดว่ามีอิทธิพลอะไรต่อสังคม เพียงแต่เป็นเรื่องของจังหวะทางประวัติศาสตร์ หรือแล้วแต่ความสอดคล้องของอารมณ์ หลายคนบอกเหมือนในใจเขาเลย เขาอยากเขียนแบบนี้ แต่ไม่ได้เขียนออกมา เหมือนเราเขียนแทนคนอื่นและเพื่อนฝูง” วิทยากรถ่ายทอดความรู้สึก
ยิ่งกว่านั้น ถ้อยความจากบทกวียังสอดคล้องกับปรากฏการณ์ในรั้วมหา ’ ลัยไทยปัจจุบันหลายมิติแม้เวลาจะล่วงเลยมามากแล้วก็ตาม ดังปรากฏชัดผ่านการแห่แหนกันเรียนปริญญาโทและเอก ขณะที่นักศึกษาก็ฟุ้งเฟ้อ รวมถึงระบบการศึกษาก็ยังสอนแบบท่องจำ แม้จะมีพัฒนาการด้านวิชาการมากขึ้น แต่ก็เน้นหนักที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง การมองปัญหาสังคมแบบองค์รวมจึงน้อย
นักศึกษาที่ไม่รักการอ่านจึงเลี่ยงไม่พ้นต้องตกเป็นเหยื่อการศึกษาแบบเน้น
ปริมาณมากเข้าว่าเพื่อนำไปรับใช้ระบบทุนนิยม คุณภาพเลยต่ำ อีกทั้งส่วนมากยังเป็นลูกคนชั้นกลาง การจะหลอมรวมพลังดังสมัยก่อนคงยาก แม้จะมีเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ก็น้อยนัก
“ใช้ชีวิตด้วยการอ่านหนังสือเยอะและหลากหลาย สนใจวรรณกรรมตั้งแต่เด็ก อ่านภาษาไทยหมดแล้ว เรื่องแปลก็มีน้อย จึงต้องไปอ่านภาษาอังกฤษ หลังจากอ่านวรรณกรรมดีๆ เหล่านั้นแล้ว ก็ทำให้อยากรู้ประวัติศาสตร์และปรัชญา เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่เข้าใจ หรือถ้าเป็นเศรฐศาสตร์การเมืองก็ต้องศึกษาเรื่องสังคมวิทยาด้วย จึงทำให้เก็บเกี่ยวความรู้และมีมุมมองที่แตกต่าง บวกกับการได้คุยกับคน เที่ยวต่างจังหวัดและต่างประเทศก็ทำให้มองปัญหารอบด้านมากขึ้น”
6 ทศวรรษสายธารชีวิต 4 ทศวรรษความหมายที่ดั้นด้นค้นหานับแต่วัยหนุ่มของวิทยากร จะว่าไปแล้วล้วนปูอยู่บนพรมอักษรทั้งไทยและเทศที่เขารักและเคยคุ้นใน
การดำดิ่งค้นหาคุณค่าความหมายโดยไร้ทีท่าหน่ายเหนื่อย จากการอ่านในวัยเด็ก เขียนในวัยรุ่น และตกผลึกความคิดเป็นองค์ความรู้ผ่านตัวอักษรที่พร้อมเผยแพร่ในช่วงเติบใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ผ่านการทดสอบท้าทายจากความผันผวนลวงเร้าของยุคสมัย
ที่ผู้คนให้ความหมายในชีวิตแตกต่างออกไป
ยืนหยัดท้าทาย
รายทางชีวิตใช่จะโรยด้วยแดงเฉดกลีบกุหลาบเสมอไป หลายคราวร้าวรานพลัดพรากจากสถานการณ์ที่ยากคำนวณใน
ความมืดดำอำมหิตเหี้ยมโหดที่มนุษย์พึงกระทำต่อกันดังเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่สถาปนาตัวเองเป็นความเงียบเหงาหดหู่ลึกซึ้งในจิตใจ ที่แม้เขาจะไม่ได้พานพบความอัปยศครั้งนี้ด้วยตนเองเนื่องจาก
ได้รับทุนไปฝึกวิธีการฝึกอบรมผู้สอนสหภาพแรงงานของสถาบัน
องค์การแรงงานระหว่างประเทศที่เมืองตูริน อิตาลีพอดี
“พอเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็ไม่กล้ากลับเมืองไทย เพราะว่ามีการจับและเผาหนังสือ ซึ่งตอนนั้นเราเป็นนักเขียนหัวก้าวหน้าที่มีชื่อเสียงแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเข้าป่า ไม่ชอบการปฏิวัติ การฆ่ากัน …ตัดสินใจลาออกจากงาน อนาคตตอนนั้นก็ยังไม่รู้จะอยู่อย่างไร แต่ภายหลังสถานการณ์ค่อยๆ เปลี่ยน จนประเมินแล้วว่าปลอดภัย ถึงกลับมา” ผู้แต่ง 1 ในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่านเผยห้วงลำบากกายใจในต่างแดน พร้อมชี้ชวนให้เห็นอีกด้านของชีวิตที่ถูกระบบอุปถัมภ์และเส้นสายทำร้ายจากการลงสมัคร สว. , กสช. กระทั่งผอ.อสมท. ที่รู้ทั้งรู้ว่าต้องโดนขัดขวางแต่ก็ยังเสนอตัวเป็นทางเลือก
ความหนักแน่นในช่วงชีวิตที่ขึ้นต้นด้วยเลข 6 แล้ว ทำให้มองแต่ละปัญหาอย่างสลับซับซ้อนขึ้น ผนวกกับการผ่านยุคสมัยต่างๆ มาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากตื่นตัวทางสังคม แล้วค่อยสนใจการเมือง เหตุการณ์ 14 ตุลาก็เข้าร่วมผลักดันประชาธิปไตย และเห็นด้วยกับสังคมนิยมเนื่องจากตระหนักว่าประชาธิปไตยแบบทุนนิยมไม่อาจช่วยประชาชน แต่ก็ไม่ถึงขั้นจับอาวุธขึ้นสู้
“อายุมากขึ้น ทำให้รู้ว่าระบบการเมืองเปลี่ยนยาก ต่างจากสมัย 14 ตุลาที่ยังหนุ่ม และเชื่อมั่นว่าเราเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เปลี่ยนโลกได้ แต่หลังจากผ่านวัยนั้นไปแล้ว ก็รู้สึกว่าเราคงทำได้ส่วนเดียวเพราะพื้นฐานประชาชน ทุกวันนี้เห็นความจริงมากขึ้นจากเมื่อก่อนที่จะเป็นอุดมคติ” วิทยากรลำดับขั้นเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่มิได้หมายถึงการทอดทิ้งความฝัน แต่ดำเนินการทุกอย่างด้วยความไม่หวือหวา ทำในสิ่งที่ทำได้ โดยเฉพาะการหันมาทุ่มเทด้านการศึกษามากขึ้นเฉกเช่นเดียวกับอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ บุคคลที่เขายกย่อง
ยิ่งกว่านั้น การหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษา จะว่าไปแล้วเสมือนการต่อยอดความฝันในการเป็นนักหนังสือพิมพ์ ตามแบบอย่างศรีบูรพา ด้วยสามารถถ่ายทอดความคิดทางการเมืองควบคู่กับ มอบความรู้ผ่านวิชาเศรษฐกิจประเทศไทย เศรษฐศาสตร์ และปรัชญาการเมืองแก่นักศึกษา ขณะเดียวกัน การวางบทบาทของตัวเองไว้แค่ผู้สนับสนุนทางความคิดแก่นักการเมืองที่คัดสรรแล้ว ก็ช่วยให้ถนนสายวิชาการที่แตกฉานตลอดมา ยังทอประกายสดใสนับแต่ทำงานแบงค์ฝ่ายวิจัย กระทั่งรับตำแหน่งคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
แม้หลายคราจะมีคำถามกวนใจว่าทำไมเขาถึงเลือกไปเรียนต่อปริญญาโทด้านพัฒนาสังคม ที่ประเทศเนเธอแลนด์หลังจากทำงานมายาวนานกว่า 10 ปี ซึ่งประหนึ่งจะขัดกับถ้อยคำในบทกวีที่เขาทุ่มเทหัวใจเขียนในวัยหนุ่มนั้น คำถามนี้วิทยากรไขไม่ยาก เพียงอธิบายเงื่อนไขของสถาบันระดับอุดมศึกษาที่บังคับว่า ผู้จะมาเป็นอาจารย์ต้องมีคุณวุฒิขั้นต่ำปริญญาโท นั่นก็ชัดเจนแล้วว่า เขายังคงเหนียวแน่นในความคิดที่ส่งผ่านจากช่วงปริญญาตรี ที่ก็ไม่ได้เข้าร่วมพิธีพระราชทานประกาศนียบัตร โดยอาจารย์ป๋วยก็เข้าใจการกระทำเช่นนี้ว่าคืออุดมคติที่ยึดถือ
นอกจากมุ่งเกี่ยวเก็บความรู้คู่ควบถ่ายทอดแก่คนรุ่นต่อไป ผ่านระบบการศึกษาในรั้วมหา’ลัยแล้ว การเขียนบทความ ทำงานวิจัย และรับเชิญไปพูดตามสถานที่ต่างๆ ยังทำสม่ำเสมอ แม้ช่วงวัยที่มากขึ้นจะถดถอยพลังลงไปบ้าง ทว่าความเชื่อมั่นว่าสามารถเปลี่ยนสังคมได้แม้จะไม่มากนัก ก็ยังเป็นกำลังใจให้วิทยากรยังพยายามขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง ด้วยมีความหวังจากการเปลี่ยนแปรภายหลังสิ้นสุดเผด็จการทรราช
หากจะนิยามความเป็นวิทยากร เชียงกูลในวันนี้ เขาเอ่ยว่า
“เป็นนักเขียนที่เชื่อมั่นในแนวทางการปฏิรูปด้วยสันติ จากตอนแรกเขียนเพราะอยากเขียน อยากโชว์ความรู้สึกตอนเป็นนักศึกษา ไม่ได้สนใจสังคมนิยมหรือการเปลี่ยนแปลงสังคมมากนัก แต่พอตื่นตัวทางสังคมแล้ว เชื่อว่าการเขียนคือการปลุกระดม จัดตั้งคน และขยายความรู้ เป็นภาระหน้าที่ทีเดียวที่เราจะต้องคิดวิเคราะห์เพื่อย่อยให้คนอื่นเข้าใจง่ายๆ” วิทยากรเผย พลางย้ำว่าแม้การพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งๆ จะไม่กี่พันเล่ม แต่ก็ได้ประโยชน์เพราะคนรุ่นหลังหาอ่านได้ ดังฉันจึงมาหาความหมายที่ปัจจุบันพิมพ์ครั้งละ 2,000-3,000 เล่ม เป็นครั้งที่ 15 แล้ว
หากกล่าวอย่างเคร่งครัดแล้ว คงยากจะอธิบายความเป็นตัวตนของใครได้ถี่ถ้วนทุกด้าน ยิ่งเขาสั่งสมประสบการณ์มากายนับแต่ห้วงหนุ่มฉกรรจ์ที่รจนา บทกวีที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของคนหนุ่มสาวร่วมสมัย ในการแสวงหาความหมายของชีวิตด้วยแล้ว ย่อมยากยิ่งจะเอื้อนเอ่ยออกมา … ทว่าก็ไม่ยากมากเกินไป หากจะใช้ธงแผ่นผืนเดียวของเขาที่ยืนเคียงข้างประชาชน เป็นเกณฑ์ตัดสิน ก็จะพบว่า ทำไมผลงานล่าสุดของเขาจึงเป็นหนังสือชื่อ ‘ แนวทางปราบคอร์รัปชั่นอย่างได้ผล ’
เรื่อง : ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ
***********
การพลิกผันจากวรรณกรรมสายลมแสงแดดที่เน้นความโรแมนติก มาสู่ยุคแสวงหาที่หนักแน่นจริงจังในชีวิตวิถีคิดนั้น ต่อให้พินิจผิวเผินหรือลุ่มลึกก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องนับเพลงเถื่อนแห่งสถาบันเข้าไว้ในรายชื่อต้นๆ ของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัย กระทั่งนับวันจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคแสวงหาความหมาย ของคนรุ่นนั้นไปเสียแล้ว
กวีซีไรต์ ‘เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์’ มองว่าบทกวีชิ้นนี้คือเสียงก้องกังวานของคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่าน 14 ตุลา ด้วยขณะนั้นนักศึกษาในรั้วมหา’ ลัยไม่น้อยสรรค์สร้างหนังสือเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองความเชื่อ และเป็นหนทางเดียวในการจะหลุดพ้นจากความคับแค้นเคียดขึ้งของระบอบเผด็จการ
“คุณค่าของบทกวีนี้คือความคึกคักของถนนสายประชาธิปไตย แม้จะไม่ค่อยสอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันที่ผ่านมานานแล้วก็ตาม เพราะเงื่อนไขความขัดแย้งในสังคมเปลี่ยนไป ไม่ใช่การมึนชาของสังคมอย่างที่บทกวีชิ้นนี้พยายามสะท้อนภาพการตื่นตัวจากความมึนชาอีกแล้ว” เนาวรัตน์เผย พลางไขข้อข้องใจต่อว่า ด้วยทุกวันนี้เป็นสังคมมายากาล นักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่เพื่อไปค้นหาความหมายอีกแล้ว แต่เข้าไปเอากระดาษใบเดียวที่มีค่านั้นออกมา
ขณะที่สุชาติ สวัสดิ์ศรี ผู้เขียนคำนำเสนอฉบับพิมพ์ครั้งแรกของฉันจึงมาหาความหมายมองว่าเพลงเถื่อนแห่งสถาบัน ปรารถนาจะคัดค้านบรรยากาศนักศึกษาในช่วงเวลานั้นที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ขณะที่อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ถูกบีบรัดสิทธิเสรีภาพใน การแสดงความคิดเห็นจากระบอบเผด็จการที่โอบล้อมอยู่ ท่วงทำนองของบทกวีชิ้นนี้จึงไม่ต่างจากบทกวีอื่นๆ อีกหลายชิ้นก่อนหน้านั้นที่สะท้อนภาพการแสวงหาของคนหนุ่ม
“แต่ความคล้องจองของบทกวีทำให้คนจำได้ รวมทั้งถูกทำให้แหลมคมมากขึ้นจากการนำไปเชื่อมร้อยกับยุคสมัยสายลมแสงแดด ที่นักศึกษาไม่เอาไหน แล้วเปลี่ยนมาเข้มแข็งจริงจังในยุคแสวงหาความหมาย” สุชาติอธิบาย ก่อนเน้นว่า คุณค่าของบทกวีชิ้นนี้ที่ส่งผ่านมายังปัจจุบันน่าจะเป็นการใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัยแบบคิดเป็น เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นพันธะหน้าที่ของนักศึกษาที่จะต้องรู้จักแสวงหาความหมายในชีวิต
ที่่มา http://www.winyuchon.co.th/main/wit.asp