บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเรื่อง ความรัก การสร้างสรรค์ และความสุข
ของท่านอาจารย์วิทยากร เชียงกูล โดยสำนักพิมพ์สายธาร 2550
บทส่งท้าย : เราจะสร้างสังคมที่มีเป้าหมายเพื่อความสุขสำหรับคนส่วนใหญ่ได้อย่างไร
- เผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจเรื่องความสุขที่แท้จริง ว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น การ
มีปัจจัยการดำรงชีพขั้นพื้นฐานพอเพียง การมีสุขภาพกายใจที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น และการได้อยู่สภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรมที่ดี และเราควรตั้งเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายการพัฒนาประเทศเพื่อความสุขของคนส่วนใหญ่ มากกว่าเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ เพราะการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมหลายอย่าง เป็นการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยและบางอย่างเป็นโทษ ไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นเลย เช่น การที่คนกรุงเทพและเมืองใหญ่ซื้อรถส่วนตัวในกันทุกวันมาก ทำให้รถต้องเผาผลาญน้ำมันมาก รถติดมาก เกิดมลภาวะมาก เสียเวลาและหงุดหงิดเพิ่มขึ้นการกินเหล้า สูบบุหรี่ การใช้ยาเพิ่ม ก็ทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมเพิ่ม แต่แท้จริงก็ทำให้คุณภาพชีวิตกลับตกต่ำลง
- เก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน ภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้า และให้สิทธิลดหย่อนภาษีแก่
ผู้บริจาคเพื่อสาธารณกุศลเพิ่มขึ้น ทั้งเพื่อสงเคราะห์ให้คนรวยคนชั้นกลางเลิกบ้างานบ้าเงิน เปลี่ยนแปลงค่านิยมการแข่งขันแบบบ้าเห่อความร่ำรวย และเพื่อกระจายทรัพย์สินและรายได้ให้เป็นธรรม และรัฐบาลมีงบประมาณที่จะช่วยให้คนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มีการศึกษามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความสุขเพิ่มขึ้น การที่คนรวยจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นจะไม่ทำให้ความสุขเขาลดลงเพราะเขามีเกินพอเพียงอยู่แล้ว แต่เงินที่นำไปช่วยคนที่ยากจนขาดแคลนจะทำให้เขามีความสุขเพิ่มขึ้นได้มาก กล่าวในแง่นี้ ความสุขของคนในสังคมจะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้แล้ว การเก็บภาษีและจัดสรรงบประมาณอย่างเป็นธรรมจะช่วยให้การพัฒนาเศรษฐกิจสมดุล คนจนมีอำนาจซื้อมากขึ้น จะช่วยให้ธุรกิจของคนรวยคนชั้นกลางขายของได้มากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศเติบโตไปด้วยกัน การกระจายการพัฒนาและรายได้ที่เป็นธรรมจะทำให้ความขัดแย้ง อาชญากรรม และปัญหาสังคมด้านต่างๆลดลง ซึ่งเป็นผลดีต่อคนทุกคนรวมทั้งคนรวยและคนชั้นกลางด้วย
- นโยบายพัฒนาประเทศ ต้องให้ความสำคัญอันดับแรกต่อโครงการพัฒนาคนจนทั้ง
ทางด้านสาธารณสุข การศึกษา และการทำให้พวกเขามีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยพวกเขาให้เข้าใจว่าความสุขเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับจิตใจและปัจจัยด้านชีวิตและสังคมด้วย ไม่ใช่เรื่องการหาเงินมาบริโภคให้ได้มากที่สุดเนื่องจากนอกจากคนจนจะขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานแล้ว เขายังขาดแคลนความรู้ ถูกกล่อมเกลาให้มีค่านิยมแบบผู้บริโภค ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินฐานะ จนเป็นหนี้สินล้นตัว และทุกข์ยากเพิ่มขึ้น การช่วยคนจนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในระดับพื้นฐานแบบพอเพียง ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะคนจนเท่านั้น คนรวยคนชั้นกลางที่ได้เป็นผู้ให้ เช่น การบริจาคให้มูลนิธิ การทำงานอาสาสมัคร ก็จะเป็นผู้ได้ความสุขจากการได้ช่วยคน ได้ทำสิ่งที่มีความหมายและมีประโยชน์ด้วย
- เปลี่ยนกรอบวิธีคิดของประชาชนและนโยบายการพัฒนาประเทศที่เน้นการเพิ่มผลผลิต
สูงสุด กำไรสูงสุดเป็นการพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตและการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม การรู้จักแบ่งเวลาระหว่างงานกับชีวิตให้เหมาะสม สนใจเรื่องการบริโภคทางวัตถุลดลง และเพิ่มการพัฒนาทางด้านอารมณ์ จิตใจ และศิลปวัฒนธรรมแทน เปลี่ยนความคิดค่านิยมของประชาชนที่เคยเน้นแต่เรื่องความสำเร็จแบบร่ำรวย มีตำแหน่ง มีอำนาจ มาเป็นความสำเร็จแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีครอบครัวที่อบอุ่น เลี้ยงลูกให้มีความสุข เก่งและดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ มีเพื่อนมาก มีคนรักชื่นชมมากได้ทำสิ่งที่ตนชอบและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ฯลฯ
เปลี่ยนความคิดค่านิยมเรื่องการพัฒนาวัตถุ เรื่องการพัฒนาความทันสมัย เช่น การสร้างทางด่วนเพื่อรถส่วนตัว เป็นการนิยมการขนส่งสาธารณะ จักรยาน พลังงานทางเลือก เทคโนโลยีทางเลือก และการสร้างเมืองให้มีสภาพแวดล้อมน่าอยู่ มีมลภาวะน้อย โดยใช้แนวทางการพัฒนาทางเลือก ที่ใช้พลังงานลดลง ลดการใช้สารเคมีลง ลดการบริโภค ฯลฯ จะทำให้เราได้ประโยชน์ทั้งสุขภาพดีขึ้น สภาพแวดล้อมดีขึ้น และการพัฒนาทางด้านจิตใจของตัวเราเอง
- ผลักดันการปฏิรูปการศึกษา ที่เน้นการให้เด็กมีความสุขในการเรียน เกิดแรงจูงใจภายใน
ตัวเองที่จะรักการอ่าน การเรียนรู้ เน้นการพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ รวมทั้งให้เด็กเรียนรู้จักจุดแข็งจุดอ่อนของตนเอง พัฒนาชีวิตภายใน (ความคิดจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก) มีความภาคภูมิใจยอมรับตัวเอง มองโลกในแง่บวก รู้สึกในทางที่ดีต่อคนอื่น เข้าใจเรื่องจริยธรรม/ศีลธรรม ว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตของเราเองและต่อสังคมทั้งหมดอย่างไร (ไม่ใช่ให้ผู้เรียนท่องจำเพื่อสอบหรือผู้ใหญ่ใช้วิธีขู่ว่าถ้าไม่ทำแล้วจะตกนรก) เพื่อสร้างพลเมืองที่ดีมีความสุข และฉลาดแบบรอบด้าน มีจิตสำนึกส่วนรวม มากกว่าฉลาดทางปัญญา แต่เน้นประโยชน์เฉพาะตัวเองอย่างที่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมชอบสอน
เด็กที่มีความสุข จะมีโอกาสเรียนเก่ง และเป็นคนดีมากกว่าเด็กที่มีความทุกข์ ความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกไม่มั่นคง ฯลฯ ดังนั้นหากการจัดการศึกษาเน้นความสุขเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดและทำให้ได้จริงแล้ว การเรียนเก่งและเป็นคนดีจะตามมา
สำหรับผู้ใหญ่ก็ควรจัดให้มีการศึกษา (นอกระบบและตามอัธยาศัย) และคำแนะนำผ่านสื่อมวลชนและสื่อต่างๆความรู้ทางจิตวิทยา ปรัชญา ศาสนา ให้เข้าใจเรื่องความสุขที่แท้จริงและการแบ่งปันให้ความสุขกับคนอื่นเพิ่มขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้คือความฉลาดที่แท้จริง และมีแต่จะทำให้ทุกคนเป็นฝ่ายได้โดยไม่มีใครเสีย
- นโยบายการพัฒนาประเทศต้องเน้นการลดอัตราการว่างงานหรือเพิ่มการจ้างงานเป็น
เป้าหมายที่สำคัญที่สุด เพราะคนที่ว่างงานไม่ได้ทุกข์เพราะไม่มีรายได้เท่านั้น แต่ยังทุกข์เพราะความรู้สึกว้าเหว่ ว่างเปล่าไม่มีคุณค่า ไม่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และคนว่างงานเรื้อรังมีโอกาสสร้างปัญหาทางสังคมเพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลควรเน้นโครงการพัฒนาที่ใช้คนมากกว่าใช้เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ เช่น โครงการปลูกป่าไม้ทั่วประเทศ การพัฒนาชลประทานและระบบน้ำ การปฏิรูปการศึกษาและสาธารณสุข ฯลฯ และการตัดสินใจในการลงทุนใดๆที่เคยมองแต่เรื่องประสิทธิภาพของการผลิตของสาขาการผลิตต่างๆต้องเปลี่ยนไปมองในแง่การส่งเสริมประสิทธิภาพของสังคมส่วนรวม ซึ่งรวมทั้งเรื่องการใช้ทรัพยากรด้วย เพราะการมองแต่ประสิทธิภาพในการหากำไรของธุรกิจเอกชนอย่างเดียว นำไปสู่การพัฒนาที่มีลักษณะทำลายล้างและสร้างความทุกข์มากกว่า
นอกจากนี้ก็ควรส่งเสริมงานบางเวลา เช่น งานอาสาสมัครเพื่อสังคม สำหรับแม่บ้านและคนเกษียณอายุ ซึ่งหลายคนอาจไม่ได้ต้องการรายได้มากนักเท่ากับต้องการได้ใช้เวลาว่างทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และได้สัมพันธ์กับคนอื่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดความสุขได้
- ให้ความสำคัญต่อชีวิตครอบครัวเพิ่มขึ้น โดยการจัดศูนย์เลี้ยงเด็กในที่ทำงานขนาดใหญ่
หรือในเมืองใกล้ที่ทำงานของพ่อแม่ จัดระบบตารางการทำงานแบบยืดหยุ่น เช่น ทำงาน 4 วัน แทนที่จะทำ 5 วัน คนที่เข้าสายหน่อยก็เลิกเย็นหน่อย ฯลฯ เพิ่มวันหยุดลาคลอด กาให้สิทธิการลาทั้งสำหรับแม่และพ่อ สนับสนุนกิจกรรมพิเศษสำหรับครอบครัวและกิจกรรมชุมชนเพิ่มขึ้น
- ควบคุมรายการทางโทรทัศน์และการโฆษณาสินค้าทางสื่อต่างๆ ที่ยั่วยุให้คนนิยม
บริโภคมาก และเน้นเรื่องความร่ำรวยเกินไป เช่น สวีเดน ห้ามโฆษณาสินค้าสำหรับเด็ก เพื่อปกป้องการล้างสมองของเด็กให้นิยมการบริโภคตั้งแต่เล็ก และควรปฏิรูปสื่อให้เป็นประโยชน์ทางการศึกษา พัฒนารสนิยม ศิลปวัฒนธรรม จิตสำนึกของประชาชนมากกว่าเป็นแค่ธุรกิจการค้าและความบันเทิงระดับพื้นๆ
- ส่งเสริมประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนให้มีสถานที่สำหรับเล่นกีฬา ศูนย์เยาวชน
โรงเรียนศิลปะ ดนตรี การแสดง พิพิธภัณฑ์ วัดที่ร่มรื่นและมีพระที่มีความรู้และคุณธรรม แหล่งเรียนรู้และนันทนาการที่สร้างสรรค์เพิ่มขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านศิลปวัฒนธรรม การ อนุรักษ์ธรรมชาติ กิจกรรมอาสาสมัครขององค์กรสาธารณกุศลต่างๆ
- การส่งเสริมความคิดจิตใจและกิจกรรมแบบรวมหมู่ผ่านระบบการศึกษา สื่อมวลชน การ
กล่อมเกลาทางสังคมและนโยบายภาครัฐ การทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกของพลเมือง เข้าใจว่าการทำเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของชุมชนและสังคมคือสิ่งที่ฉลาดกว่าการห่วงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นส่วนตัว เพราะจะทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันมากกว่าการส่งเสริมกิจกรรมแบบร่วมมือกัน ทำงานเป็นทีม ทั้งในโรงเรียน สถานที่ทำงาน ชุมชน ส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมหมู่เพื่อส่วนรวม พัฒนาระบบสหกรณ์รูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ เครดิตยูเนียน ร้านค้าสหกรณ์ สหกรณ์ผู้ผลิตและผู้บริโภค สหภาพแรงงาน สมาคมอาชีพ และสมาคมบำเพ็ญประโยชน์ด้านต่างๆ การสร้างสังคมประชา (Civil Society) สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองแบบพอเพียงได้มากขึ้น ชุมชนสามารถดูแลสวัสดิการชุมชน การศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและระบบนิเวศ (หรือสภาพแวดล้อม) ในชุมชนได้มากขึ้น กิจกรรมรวมหมู่เพื่อส่วนรวมเหล่านี้ช่วยให้สมาชิกในชุมชนมีความสุขเพิ่มขึ้น ชุมชนและประเทศชาติจะพัฒนาไปอย่างเป็นธรรม มีประสิทธิภาพและยั่งยืนเพิ่มขึ้น
ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เน้นการหากำไรเอกชน ทำให้เกิดการจัด
สรรทรัพยากรแบบบิดเบือน เช่นระบบเศรษฐกิจจะโน้มเอียงไปในการลงทุนผลิตสินค้าและบริการฟุ่มเฟือยที่คนรวยและคนชั้นกลางชอบซื้อและคนผลิตคนขายได้กำไร มากกว่าการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ กิจกรรมที่เป็นประโยชน์และให้ความสุขแก่คนในสังคมหลายอย่าง เช่นศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชนมักต้องใช้ต้นทุนสูง และเป็นกิจกรรมที่มักหารายได้ไม่คุ้มทุน กิจกรรมที่ดีๆจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหรือภาคธุรกิจเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ เพราะถ้าหากปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งคิดแต่ต้นทุนกำไรเอกชน ตามแนวคิดการพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมแล้ว สังคมก็จะมีการลงทุนทำกิจกรรมดีๆเพื่อประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนน้อย จะมีแต่กิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชน ซึ่งยิ่งเป็นการมอมเมาให้ประชาชนหลงใหลกับลัทธิบริโภคนิยม การแข่งขันหาเงิน หาความสำเร็จทางวัตถุ เช่น อำนาจ ฐานะทางสังคม ชื่อเสียงซึ่งอาจเป็นความเพลิดเพลินชั่วคราว แต่ไม่ได้พบความสุขที่แท้จริง
เราต้องเปลี่ยนแนวคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์หรือการบริหารแบบคิดถึงหลักของ ต้นทุน – ผล
ตอบแทนทางสังคม มาแทนที่หลักของการคิดแต่ต้นทุน – กำไรเอกชน เราจึงจะเห็นว่ากิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม การอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติ การพัฒนาทางจิตใจ ฯลฯ ที่จะช่วยให้ประชาชนฉลาด มีความสุข มีรสนิยม มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมเพิ่มขึ้นเหล่านั้น จริงๆแล้วเป็นกิจกรรมที่จะให้ผลตอบแทนต่อสังคมระยะยาวที่สูงกว่าต้นทุน
นักเศรษฐศาสตร์ที่ดีจะต้องรู้จักคิดแยกว่าแยะสินค้าสาธารณะหรือสินค้าเพื่อส่วนรวมออกมาจากสินค้าในท้องตลาดของระบบทุนนิยม สินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเช่น การศึกษา สาธารณสุข ศิลปวัฒนธรรม จะใช้วิธีคิดแบบต้นทุน – กำไรเอกชน ตามกลไกตลาดทุนนิยมไม่ได้ ภาครัฐจะต้องเข้ามาอุดหนุนหรือใช้มาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ กระตุ้นให้ภาคธุรกิจเอกชนที่มีกำไรส่วนเกินมากอยู่แล้ว มาช่วยอุดหนุนสินค้าและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสมาชิกในสังคม ซึ่งนายทุนผู้ประกอบการก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วยและจะได้ประโยชน์ในระยะยาวร่วมกัน
ถ้านายทุนและผู้ประกอบการทั้งหลายจะฉลาด เห็นการณ์ไกลและเปลี่ยนมาใช้หลักคิดเศรษฐศาสตร์เพื่อความสุข แทนเศรษฐศาสตร์เพื่อเงินและวัตถุ คนในโลกนี้จะมีโอกาสที่จะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกมาก