ไมเคิล ไรท์ กระจกเงาส่องสังคมไทย |
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ | 1 กุมภาพันธ์ 2552 18:18 น. |
|
ไมเคิล ไรท์ กระจกเงาส่องสังคมไทย |
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ | 1 กุมภาพันธ์ 2552 18:18 น. |
|
ไมเคิล ไรท์ กระจกเงาส่องสังคมไทย
รศ.วิทยากร เชียงกูล
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 1 กุมภาพันธ์ 2552 18:18 น.
ใครที่ชอบอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม คงจะเคยได้อ่านหรือได้ยินชื่อ ไมเคิล ไรท์ ผู้เขียนบทความภาษาไทยรวมเป็นเล่มชื่อ “ฝรั่งคลั่งสยาม” และอื่น ๆ เขาได้เขียนบทความเชิงวิเคราะห์ที่ทำให้เกิดโต้แย้งกันมากพอสมควร เช่นหลักศิลาจารึก หลักที่ 1 ที่เคยเชื่อกันว่าจารึกในสมัยสุโขทัยนั้น เขาเห็นว่าโดยโครงสร้างไวยากรณ์สำนวนภาษาน่าจะจะจารึกในสมัยต้น ๆ รัตนโกสินทร์และถือเป็นวรรณกรรมสั่งสอนมากกว่า ในที่นี้ผมเพียงแต่อยากจะเขียนถึงไมเคิล ไรท์ในฐานะเพื่อนเก่าคนหนึ่งแบบมองภาพกว้างมากกว่า
การทำงานของหน่วยงานภาครัฐหลายองค์กร ค่อนข้างจะได้รับอิทธพล ทฤษฎี “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ของ นพ.ประเวศ วะสี ที่เชื่อในพลังการเคลื่อนของ 3 ขั้วมุมคือ “ภาคการเมือง ภาคสังคม และภาคสื่อ”ว่าสามารถทำ “งานใหญ่” ที่เคยเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ให้สามารถเป็นไปได้
บทเรียนที่ผ่านในช่วงทศวรรษนี้ สังคมได้เคลื่อนตัวไปสู่จุดที่นักวิชาการเรียกว่า “สังคมพหุนิยม”นั่นคือ การเกิดขึ้นของกลุ่มที่หลากหลายและมีความแตกต่างกันของผลประโยชน์ ดังนั้นแนวคิดแบบ Zero Sum Game ที่ “ผู้ชนะได้หมด” นั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้
ประเด็นก็คือ มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการสร้างเวทีต่อรองผลประโยชน์เพื่อให้เกิดดุลของ การจัดสรรทรัพยากรที่นับวันยิ่งมีอยู่อย่างจำกัด
อดีตที่ผ่านมานั้น การแย่งชิงทรัพยากรอาจจบด้วยโศกนาฏกรรมของสังคมชนบท แต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
ขณะที่ประเทศก็ไม่สามารถหยุดนิ่งการขับเคลื่อนท่ามกลางกระแสการพัฒนา การหาเวทีให้กลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลายได้ใช้ต่อรองจึงเลี่ยงไม่พ้น
สำหรับโครงการพัฒนานักลงทุนและภาครัฐ มีเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติและบวกรวมเป็นต้นทุนการดำเนินโครงการ นั่นก็คือ การเพิ่มต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน
กระบวนการนี้มีกลไกรองรับคือ รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือเรียกสั้นๆว่า อีไอเอ.มีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (สผ.) รับผิดชอบกำกับดูแล
ประเทศไทยเริ่มนำเข้ากระบวนการอีไอเอ.มาใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 โดยระยะแรกจำกัดการบังคับใช้กับโครงการของรัฐต่อมาปี พ.ศ.2535 ขยายบังคับประเภทและขนาดของโครงการถึง 22 ประเภท และระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่ามาโครงการพัฒนาได้รับความเห็นชอบในรายงาน อีไอเอ.มากกว่า 3,500 โครงการ
แต่ด้วยโครงสร้างและกระบวนการแบบเดิมทำให้อีไอเอ.ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นต่อเนื่อง การจัดทำรายงานไม่ครอบคลุมจนในที่สุดทำไปสู่การมองอีไอเอ.ด้วยทัศนคติด้านลบ
สผ.จึงถูกมองว่าเป็นหน่วยงาน “ตรายาง”ในการให้ความชอบธรรมกับการที่รัฐ-เอกชนเข้าไปแย่งชิงทรัพยากรของชนบ ทเพื่อป้อนเข้าสู่เมืองภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนา”
ว่ากันว่า ปัญหานี้ครอบคลุมทั้งระบบบริหารจัดการในส่วนของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณาโครงการ ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ รวมทั้งและบริษัทที่ปรึกษา เมื่อผสมโรงกับจำนวนโครงการที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาอีไอเอมีมากขึ้น จากปี พ.ศ.2546 มีเพียง 574 โครงการ แต่พอปี 2551 มีโครงการที่จะต้องพิจารณาถึง 1,097 โครงการ ในขณะที่ สผ. มีเจ้าหน้าที่พิจารณาตรวจสอบเพียง 65 คน
ความเคลื่อนไหวของ สผ.โดยเปลี่ยนระบบคิด นำ “Steak Holder” โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา และภาคประชาคม อย่างนักวิชาการตามมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการอีไอเอ.จึงเป็นคว ามเคลื่อนไหวที่มีนัยยะสำคัญ
การยกเครื่อง อีไอเอ. ที่ระบุว่า ดำเนินการภายใต้ หลัก 4 พ. คือ เพิ่มคุณภาพ เพิ่มความเร็ว เพิ่มความโปร่งใส และเพิ่มความรับผิดชอบนั้น โดยรวมแล้วก็มีปรัชญาพื้นฐานคือ การสร้างการยอมรับจากทุกภาคส่วนในกระบวนการจัดทำอีไอเอ.
ถ้าฟังจากนายชาตรี ช่วยประสิทธิ์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บอกถึงขั้นว่า คณะกรรมการผู้ชำนาญการ จะมีการเพิ่มสัดส่วนของ Steak Holder คือผู้แทนจากภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย
หรือกระทั่งนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง เลขาธิการ สผ. บอกว่า ปัญหาการยอมรับของชุมชนน่าจะได้รับการแก้ไข เพราะมีการเพิ่มผู้เกี่ยวข้อง (Steak Holder) ให้เข้ามาสู่กระบวนการพิจารณาอีไอเอ อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ สผ.ก็ยังเรียกร้องว่า ความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากผู้ประกอบการและชุมชน
สิ่งที่ต้องยอมรับว่าเมื่อเกิดโครงการพัฒนาย่อมมีผลกระทบ เพียงแต่ว่า ผลกระทบนั้นเป็นที่เป็นไปภายใต้มาตรฐานที่ยอมรับได้หรือไม่
สังคมไทยต้องพัฒนาต่อไปก็คือ เมื่อสร้างกลไกแก้ความขัดแย้ง สร้างเวทีในการ “สานเสวนา” เพื่อนำปัญหาเข้าสู่ระบบ สำคัญกว่านั่นก็คือสังคมไทยจะใช้กลไกที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ นั้น
ส ิ่งเหล่านี้ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็ขึ้นคิดอยู่กับ “สำนึกร่วม” ของผู้คนในสังคม การละทิ้งแนวคิดสุดโต่ง ละทิ้งวาทกรรม “มึงสร้างกูเผา” ละทิ้งระบบคิดที่มองทุน รัฐ เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนแล้วหันมามองผลประโยชน์ชาติภายใต้ดุลภาพและความสมานฉ ันท์
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 27 พฤศจิกายน 2551 09:51 น.
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ |
มนุษย์เราถูกสร้างมาอย่างดีให้มีความแตกต่าง ดังอวัยวะของกายเดียวกัน ความแตกต่างไม่ควรเป็นเหตุแห่งความแตกแยก “ความรัก” ระหว่างมนุษย์จึงมีความสำคัญ และ “พระเจ้า” ผู้ยิ่งใหญ่ จึงเป็น “ความรัก” ที่จะผูกโยงอวัยวะที่ต่างกัน ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในร่างกายเดียวกัน
.. ในความรัก ผู้คนจะไม่เห็นแก่ตัว แต่จะเห็นแก่กันและกัน
Read the rest of this entry »
ทางออกของปัญหา:คอร์รัปชั่นปราบได้ ถ้าคิดแก้ไขกันอย่างเป็นระบบ
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 21 มีนาคม 2551 21:22 น.
คอร์รัปชั่นไม่ใช่เรื่องปกติที่สืบเนื่องมาจากความโลภของมนุษย์หรือลักษณะทางวัฒนธรรมและศีลธรรมของนักการเมืองไทยที่หลายคนคิดว่าคงจะไม่มีทางแก้ได้ แต่เป็นเรื่องผิดปกติที่เกิดจากปัญหาบริหารการจัดการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่ไม่ดี และปัญหานี้มีทางป้องกันและปราบปรามได้ ถ้าประชาชนตระหนักและรู้วิธี
พลเมืองสมัยใหม่ต่างจากไพร่ฟ้าข้าราษฎรอย่างไร
รัฐธรรมนูญทั้งปี 2540 และปี 2550 ไม่สามารถทำให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองได้ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองไทยเป็นระบบทุนนิยมผูกขาดแบบเป็นบริวารทุนต่ างชาติ ที่คนรวยกลุ่มน้อยมีอำนาจครอบงำประชาชนทุกด้านสูงมาก ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน ขาดความรู้และจิตสำนึกในฐานะพลเมือง ยังคิดว่าตนเองเป็นไพร่ฟ้าที่ต้องพึ่งพาอยู่ภายใต้อุปถัมภ์และเป็นหนี้บุญคุ ณของผู้มีอำนาจ
ทางออกของปัญหา:ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว (Failed State)? |
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 3 มีนาคม 2551 15:04 น. |
|
บทความที่เขียนใน นสพ. ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 17 กุมภาพันธ์ 2551 19:01 น. |
โครงการกองทุนหมู่บ้านและโครงการให้สินเชื่อรายย่อยประเภทต่างๆ ช่วยให้คนจนมีเงินสดหมุนเวียนไปประกอบอาชีพเกษตรกรและอาชีพอิสระรายย่อยเพิ่ มขึ้นได้บ้าง แต่ยากที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้จริงๆ เพราะก ารที่คนจนจะก้าวข้ามพ้นความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย ่าง เช่น การมีโอกาสได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือปัจจัยการผลิตอื่น มีความรู้ความสามารถในการจัดการ มีระบบตลาดและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ผู้ผลิตรู้จักรวมตัวกันเป็นกลุ่มสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ฯลฯ
ทางออกของปัญหา:กองทุนหมู่บ้าน- ประชานิยมไม่อาจแก้ปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้างได้
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 17 กุมภาพันธ์ 2551 19:01 น. |
โครงการกองทุนหมู่บ้านและโครงการให้สินเชื่อรายย่อยประเภทต่างๆ ช่วยให้คนจนมีเงินสดหมุนเวียนไปประกอบอาชีพเกษตรกรและอาชีพอิสระรายย่อยเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่ยากที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้จริงๆ เพราะการที่คนจนจะก้าวข้ามพ้นความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การมีโอกาสได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือปัจจัยการผลิตอื่น มีความรู้ความสามารถในการจัดการ มีระบบตลาดและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ผู้ผลิตรู้จักรวมตัวกันเป็นกลุ่มสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ฯลฯ
การเน้นโครงการให้สินเชื่อรายย่อยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าการพัฒนาเศรษฐกิจแบบแข่งขันในระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนได้ ทั้งๆที่คนที่ยากจนขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นอย่างมากนั้น จนเพราะถูกระบบระบบทุนนิยมผูกขาดเอาเปรียบ และพวกเขาควรได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแบบให้เปล่าในเรื่องการศึกษา สาธารณสุข บริการขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่างๆ โดยรัฐบาลต้องเก็บภาษีจากคนรวยในอัตราก้าวหน้าและหารายได้ต่างๆมาช่วยแก้ไขปัญหาและพัฒนาหรือปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานต่างๆในถิ่นที่ยากจน จึงจะเป็นช่องทางช่วยพัฒนาคนจนให้ช่วยตัวเองได้
การส่งเสริมการปล่อยเงินกู้รายย่อยให้ประชาชนเข้าไปแข่งขันในระบบทุนนิยมผูกขาดแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ประกอบการรายย่อยส่วนน้อยเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ แต่ก็อาจจะอยู่ในขอบเขตจำกัดและในระยะสั้นๆ ไม่อาจจะแข่งขันสู้กับบริษัทใหญ่ได้ในระยะกลางและระยะยาวได้ ยกเว้นแต่จะมีการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ผู้ผลิตที่เข้มแข็ง
การส่งเสริมธนาคารให้สินเชื่อขนาดย่อมเป็นด้านหลักโดยไม่ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองให้เป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตย เป็นเพียงการเปลี่ยนการขูดรีดดอกเบี้ยจากคนจนโดยระบบนายทุนเงินกู้เอกชน มาเป็นการขูดรีดโดยสถาบันการเงิน ที่คิดดอกเบี้ยต่ำกว่านายทุนเงินกู้เอกชนหน่อย แต่ดอกเบี้ยที่รายย่อยกู้ได้ยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีมากเท่านั้น เนื้อแท้ของการขูดรีดผ่าน ระบบการซื้อ (ปัจจัยการผลิต) แพง ขาย (ผลผลิต) ได้ถูก ไม่ได้เปลี่ยนแปลง โครงการเงินกู้รายย่อยเพียงช่วยให้ผ่อนคลายปัญหาและช่วยให้เศรษฐกิจทุนนิยมเดินต่อไปได้โดยไม่สะดุดดูดี แต่คนจนก็ยังติดกับดักของเงินกู้ คือต้องเป็นหนี้สะสมเพิ่มขึ้นไปชั่วชีวิตไม่ต่างไปจากเดิม
ทางออกของคนจน
เราน่าศึกษาบทเรียนจากธนาคารกรามีนของบังคลาเทศ (อ่าน วิทยากร เชียงกูล มูฮัมหมัด ยูนูส ธนาคารคนจนและรางวัลโนเบล สายธาร 2551) สหกรณ์ และองค์กรประชาชนในประเทศอื่นๆเพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนและนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น โดยจะต้องวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองให้เข้าใจสภาพสาเหตุแนวทางการแก้ไขให้เชื่อมโยงเป็นระบบองค์รวม ทางออกของคนจน คงไม่ใช่แค่การจัดตั้งธนาคารคนจน กลุ่มออมทรัพย์หรือสหกรณ์ออมทรัพย์แค่นั้น แต่ต้องจัดตั้งสหกรณ์ผู้ผลิตและผู้บริโภค สหกรณ์ร้านค้าและสหกรณ์ประเภทต่างๆที่เข้มแข็งและมีเครือข่ายกว้างขวาง เช่น สหกรณ์การเกษตร ที่มีเครือข่ายระดับภูมิภาคและประเทศ ร่วมกันซื้อปัจจัยการผลิตได้ถูกลงและร่วมกับขายพืชผลได้อย่างมีความรู้มีการจัดการและอำนาจต่อรองขึ้น อย่างสหกรณ์การเกษตรในยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งพัฒนาถึงขั้นมีธนาคารของตัวเอง มีร้านค้าสหกรณ์และบริษัทขายส่ง บริษัทส่งออกของตัวเอง
คนงานผู้ประกอบอาชีพต่างๆสามารถพัฒนา สหกรณ์ผู้ผลิต ผู้บริโภค ที่สมาชิกสหกรณ์เป็นเจ้าของโรงงาน ธุรกิจต่างๆเองได้ แม้แต่การแพทย์และการรักษาพยาบาล ทั้งแพทย์ พยาบาล ประชาชนก็มีการ ตั้งสหกรณ์เพื่อการรักษาพยาบาล ในบราซิลและประเทศอื่นๆที่มีจุดแข็งมากกว่าโรงพยาบาลรัฐซึ่งให้บริการได้จำกัดและโรงพยาบาลเอกชนซึ่งคิดแพง ในหลายประเทศมีการตั้งสหกรณ์ผู้ผลิตและผู้ใช้น้ำ ไฟฟ้า ฯลฯ ที่มีจุดแข็งมากกว่ารัฐวิสาหกิจหรือบริษัทนายทุนเอกชน เพราะสหกรณ์เป็นการจัดระบบการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพแบบระบบตลาด แต่การบริหารและการแบ่งปันผลประโยชน์มีความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เน้นเพื่อประโยชน์สมาชิกส่วนรวม สหกรณ์จึงเป็นทางเลือกที่สามที่ดีกว่ารัฐวิสาหกิจ รัฐสังคมนิยมและระบบนายทุนเอกชน
สหกรณ์ที่มีสมาชิกมีความรู้และจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมในหลายประเทศ ยังเป็น องค์กรที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคมและสภาพแวดล้อมให้สมาชิก ชุมชน และประเทศ ได้ดีกว่าบริษัทธุรกิจเอกชนด้วย เช่น การเน้นการผลิตและการบริโภคสินค้าที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสภาพแวดล้อม การให้สวัสดิการและความช่วยเหลือแก่คนจนหรือคนด้อยโอกาสในชุมชน การส่งเสริมสิทธิสตรี สิทธิพลเมือง สิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ในภาคใต้และภาคตะวันออกของไทย นอกจากจะการจัดสวัสดิการชุมชนให้สมาชิกและรณรงค์ในเรื่องให้สมาชิกละเลิกอบายมุข และไม่ขายเสียงในการเลือกตั้งผู้แทนด้วย
ดังนั้น การรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันของประชาชนในแนวสหกรณ์ จึงมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาได้สูงกว่าการพัฒนาแนวทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เน้นการแข่งขันหากำไรส่วนบุคคล คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงจะไม่เกิดขึ้นได้จริง ถ้าแนวคิดการพัฒนาประเทศไทยยังเน้นแนวทางเปิดเสรีภายใต้ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมเป็นด้านหลัก เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นจริงได้ก็ต่อ เมื่อเราต้องพัฒนาระบบสหกรณ์ พัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชน การฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองระดับชุมชนได้เพิ่มขึ้น และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับชุมชน ทำสหกรณ์ผู้ผลิต ผู้บริโภค สหกรณ์ออมทรัพย์ ร้านค้า สหกรณ์ ฯลฯ ให้เข้มแข็งสามารถแข่งกับบริษัทนายทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ ประชาชนไทยจึงจะมีโอกาสแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาความด้อยพัฒนาอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง
ทางออกของปัญหา:จะมองและสร้างเศรษฐกิจทางบวกได้อย่างไร |
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 6 ธันวาคม 2550 18:52 น. |
|
ทางออกของปัญหา:การสร้างและการคัดเลือกผู้นำในประเทศไทย |
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 29 พฤศจิกายน 2550 17:45 น. |
|
ทางออกของปัญหา:น้ำมันแพง เป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องแก้ไขทั้งระบบ |
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 25 พฤศจิกายน 2550 16:44 น.
โดยวิทยากร เชียงกูล |
|