RSS

แก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง

25 เม.ย.

วิทยากร เชียงกูล

    การเลือกตั้ง  ส.ส. รวมทั้งการเลือกตั้งตำแหน่งอื่นๆ มีการใช้เงินใช้ทองซื้อเสียงมาก เนื่องจากสาเหตุหลายประการที่ประกอบขึ้นเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทยเท่าที่เห็นชัดๆ มี

1.การพัฒนาเศรษฐกิจในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดกากระจายความมั่งคั่ง ที่ไม่เท่าเทียมกันมากขึ้น คนรวยๆขึ้นมาก คนจนอยู่เท่าๆเดิมหรือจนลง จึงมีคนประเภทที่ลงสมัคร ส.ส.แล้วใช้เงินคนละ 10-20 ล้านบาท หรือมากกว่านั้นในการหาเสียงและซื้อเสียงเป็นเรื่องธรรมดา หรือมีนายทุนมีพรรคที่พร้อมจะจ่ายเงินให้ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจนได้ค่าจ้างวันละ 100 กว่าบาทหรือน้อยกว่านั้น ดังนั้นการขายเสียง 500 บาท จึงมีความหมายสำหรับประชาชนยากจนมาก เพราะปกติเขาก็ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารและมองไม่ค่อยเห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากการเลือก ส.ส.อยู่แล้ว การขายเสียงจึงเป็นวิธีการต่อรองอย่างหนึ่งของคนจน โดยที่เขาไม่ตระหนักว่าในระยะยาวแล้วการต่อรองแบบนี้ยิ่งทำให้พวกเขาเสียเปรียบคนที่ซื้อเสียงเข้าไปเป็นผู้แทน เป็นรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น

     2. การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์แบบศักดินา ซึ่งรวมทั้งแบบเจ้าพ่ออุปถัมภ์ แต่กลับทำให้เข้มแข็งขึ้น ประชาชนยังคงถูกสั่งสอนกล่อมเกลาให้เคารพกราบไหว้คนมีอำนาจ คนมีตำแหน่ง คนรวย ที่พวกเขาเชื่อว่ามีอำนาจ มีบุญบารมีที่จะช่วยเหลือเขาได้เวลาที่เขาต้องการพึ่งพา  และสามารถจะลงโทษเขาได้ถ้าเขาไม่สวามิภักดิ์ ไม่จงรักภักดี ในระบบนี้ผู้สมัคร ส.ส.ไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียงอย่างเดียว แต่ใช้อำนาจบารมี ใช้การผูกพันให้คนรู้จักเป็นบุญคุณ ใช้การข่มขู่ ผ่านเครือข่ายหัวคะแนนซึ่งเป็นคนกว้างขวางในท้องถิ่นที่ชาวบ้านต้องรับเงินและต้องเลือกคนที่ให้เงิน ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินอย่างเดียว หากเลือกเพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหวังพึ่งพาต่อไป รวมทั้งเกรงกลัวด้วยว่าถ้ารับเงินมาแล้วไม่เลือกคนที่ให้เงิน ครอบครัวของตนหรือคนทั้งหมู่บ้าน หรือหัวคะแนนจะถูกลงโทษ

3. ระบบข้าราชการแบบรวมศูนย์ยังมีอำนาจเหนือประชาชนทั่วไปมากเกินไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัด และนอกเขตเทศบาลทั้งทหาร ตำรวจ และมหาดไทย ยังมีอำนาจและมีอิทธิพล ส่วนใหญ่พวกเขาพร้อมจะร่วมมือกับคนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ และการเมืองมากกว่าจะทำตัวเป็นกลาง หรือเป็นที่พึ่งของประชาชน ข้าราชการยังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นผู้กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ประชาชนก็ไม่รู้สึกว่า ตนเป็นเจ้าของประเทศ เพราะประชาชน ส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีทางอ้อม จึงไม่รู้ว่าเป็นงบประมาณมาจากภาษีของตน รัฐบาลก็ไม่ค่อยให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องจำนวนและที่มาของภาษี ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตนเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการ และไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า “ของหลวง” ที่แท้จริงคือเงินภาษีของประชาชน เช่น คนจำนวนมากใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า ใช้อุปกรณ์ของทางราชการต่างๆอย่างฟุ่มเฟือยเพราะคิดว่าเป็น “ของหลวง” ไม่ใช่ของตน

4. การพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างค่านิยมที่นับถือยกย่องเงิน และการบริโภคเป็นพระเจ้า เงินกลายเป็นเป้าหมายในชีวิต กระบวนการได้เงินมาไม่สำคัญ ขอให้ได้มาเป็นใช้ได้ คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าการซื้อขายเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจแนวนี้ การพัฒนาแบบนี้ทำให้คนไม่ได้นับถือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้นับถือหลักการ อุดมการณ์ประชาธิปไตย หรือความถูกต้องชอบธรรม อย่าว่าแต่ชาวบ้านหรือนักการเมืองจะซื้อเสียงขายเสียงเลย ข้าราชการหลายหน่วยงานก็ประจบสอพลอ วิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง พ่อค้า นักธุรกิจ ก็จ่ายเงินวิ่งเต้นให้ข้าราชการเวลาต้องการสัมปทานหรือประโยชน์ทางธุรกิจ ฯลฯ

5. การจัดการศึกษาที่เน้นระบบท่องจำ การเชื่อฟังครูอาจารย์และตำรา ได้แต่สร้างคนที่มีความรู้สามัญและความรู้ทางวิชาชีพ แต่ไม่สร้างคนที่รู้จักการคิดวิเคราะห์ มีความนับถือตนเอง ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง คนไทยถึงจะได้เรียนหนังสือมากขึ้น ก็ยังคิดและมีค่านิยมไม่ต่างจากเดิม คือ ชอบทำตามกระแสส่วนใหญ่ในสังคมเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ มากกว่าที่จะทำเพื่อการมองการณ์ไกล หรือเพื่อหลักการ

ปัญหาการซื้อเสียงจึงเป็นผลมาจากการพัฒนาของสังคมไทยทั้งหมด เราไม่อาจมองปัญหาแบบง่ายๆ ว่าเพราะชาวบ้านโง่เขลาเป็นแค่เงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท และพยายามแก้ไขโดยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไม่ให้ชาวบ้านขายเสียง การโฆษณาแบบนั้นจะเป็นการเสียเงินที่มาจากภาษีของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก

    ทางแก้ปัญหานี้ ต้องปฏิรูปทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม (การศึกษา วัฒนธรรม ค่านิยม) เพื่อกระจายความรู้ ความมั่งคั่ง อำนาจต่อรอง สิทธิและโอกาสไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึงและยุติธรรม ไม่ใช่แค่ปฏิรูปการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือการมุ่งทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมเจริญเติบโตเท่านั้น

การปฏิรูปการเมืองนอกจากจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้ประชาชนมีบทบาทมากขึ้นแล้วยังจะต้องรวมถึงการกระจายอำนาจการปกครอง และการคลังไปสู่ท้องถิ่น และการปฏิรูประบบราชการให้เล็กลงมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีระบบการตรวจสอบไม่ให้นักการเมืองและข้าราชการฉ้อฉลใช้อำนาจในทางที่ผิดด้วย

การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และสังคม เป็นหัวใจที่สำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปการเมืองเป็นประชาธิปไตย เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แทนที่จะคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่เรื่องการส่งออก การแก้ปัญหาการขาดทุนบัญชีเดินสะพัด ฯลฯ ควรคิดเสียใหม่ว่าถ้าเรามุ่งพัฒนาให้คนไทย 60 ล้านคน (ซึ่งมากกว่าอังกฤษเล็กน้อย แต่เศรษฐกิจเราเล็กกว่าอังกฤษหลายเท่า) มีที่อยู่อาศัย มีอาหาร สินค้าและบริการต่างๆที่ยกระดับคุณภาพชีวิต มีการศึกษาดี มีงานทำที่มีประสิทธิภาพ ประชาชน 60 ล้านคน ก็จะเป็นพลังงานเศรษฐกิจอย่าง มหาศาล เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ถ้าให้ประชาชนร่ำรวย เศรษฐกิจไทยจะโตกว่านี้หลายเท่า เพราะประชาชนมีอำนาจซื้อ ตลาดในประเทศจะมีขนาดใหญ่ขึ้น สินค้าที่ผลิตได้ไม่ต้องพึ่งการส่งออกทั้งหมด แต่ขายในประเทศได้ด้วย เงินก็จะหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจแบบส่งเสริมซึ่งกันและกัน

เมื่อคนไทยส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น และฐานะไม่แตกต่างกันมาก ความรู้และข้อมูลข่าวสารที่พวกเขาได้รับไม่แตกต่างกันมาก การจะซื้อเสียง การจะเอาเปรียบกันด้วยวิธีต่างๆก็จะลดลงเหมือนในประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งหลายประเทศมีประชากรและทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ แต่เศรษฐกิจเขากลับดีกว่า ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่ดีกว่า และการเมืองเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงมากกว่า เราควรแข่งขันกับประเทศอื่นในแง่ทำให้มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่และความรู้ประชาชนดีขึ้นด้วย  ไม่ใช่การแข่งขันเรื่องส่งออกสินค้าและบริการเท่านั้น เพราะถ้าประชาชนกินดีอยู่ดี การศึกษาดี ทำงานเก่ง ก็จะแข่งกับต่างประเทศได้ทุกทางและแก้ปัญหา พัฒนาตัวเองในทุกด้านได้ดีขึ้นด้วย

ที่มา …จาก
วิทยากร เชียงกูล – ปฏิรูปการเมือง.– กรุงเทพฯ : มิ่งมิตร, 2540.
152 หน้า
ISBN 974-89872-7-2

+ +

 

ป้ายกำกับ: , , , , ,

9 responses to “แก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง

  1. Thanan

    กุมภาพันธ์ 23, 2011 at 1:42 pm

    ครับ ดีมาก ๆ ครับ ถ้าทำได้

     
  2. แพรว

    มิถุนายน 4, 2011 at 7:09 pm

    นักเรียนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญญาการซื้อสิทธิรายเสียงได้หรือไม่อย่างไร

     
  3. วัฒนา

    มิถุนายน 19, 2011 at 5:44 am

    อำนาจ ใคร….ใครก็อยากเสพ โดยไม่คำนึงถึงที่ได้มา…..การศึกษา(ผู้รับกรรม)… ตอบให้หน่อย….แต่มันก็น่าคิดนาเพราะผู้แทนแต่ละท่าน ก็จบ ป.ตรี – ป.โท หรือ ดร.เต็มถนน(ป้ายหาเสียง)

     
  4. เด็กเอ๋อ

    กรกฎาคม 2, 2011 at 8:35 am

    หนูจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงประเทศไทยเอง

    55 พูดไปงั้นแหละ

     
  5. nui..

    สิงหาคม 3, 2011 at 3:36 pm

    ชอบนะบทความนี้ ถ้าความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ดี ประเทศก็ไม่น่าอยู่

     
  6. หลงเหล๋ง

    กันยายน 15, 2011 at 7:57 pm

    อยากเห็นคนไทยเลือกคนดีจริงๆๆ
    ไม่เลือกคนเลวเข้าในสภา
    อยากให้คนไทยหูตาสว่างสักที
    ประเทศชาติจะได้เจริญ
    ที่ประเทศชาติเป็นแบบนี้ก็เพราะคนไทยเห็นแก่เงินที่เขาแจกเพียงน้อยนิด
    แต่พอเขาได้เข้าไปอยู่ในสภาเขาเอาอำนาจหน้าที่ที่มีโกงเงินชาติบ้านเมืองไปเป็นหมื่นๆๆแสนๆๆล้านๆบาท
    สงสารคนไทยด้วยกันเถอะ

     
  7. ชมรมศึกษาผลงานวิทยากร เชียงกูล

    ตุลาคม 6, 2011 at 12:15 pm

    คนดีจริงๆในกลุ่มนักการเมืองหาได้ยาก ถึงมีก็น้อยรวมอยู่ในกลุ่มก้อนของคนคอรับชั่น คนไทยในชนชั้นกลางรู้และเข้าใจในสิ่งนี้ดี แต่ระบบรากหญ้าซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย ฝังรากลึกความเชื่อที่ผิดๆกับนักการเมืองที่แจกเงิน ด้วยความซื่อความบริสุทธิ์ จึงมองไม่เห็นสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ค่ะ

     
  8. ครูไทย

    มีนาคม 9, 2012 at 6:48 am

    อยากทำให้ประเเทศนี้เต็มไปด้วยชนชั้นกลางเพื่อจะได้มีความรู้เข้าใจความชั่วของนักการเมืองทุกคนได้จะได้ตาสว่างซะที

     
  9. มือใหม่

    สิงหาคม 15, 2012 at 11:38 am

    ขอบคณน่ะ สำหรับบทความที่นำมาเผยแผ่ …….แต่ประเทศไทย ส่วนใหญ่จะยึดที่ตัวบุคคลสะมากกว่า….จะไม่สนใจในปัญหานั้นจริงๆ เสมือนแบบว่ามันเป็นแบบทุนนิยม สังคมนิยม

     

ใส่ความเห็น